ในช่วงบ่ายวันที่ 21 เมษายน 2553 คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน (อัตราดอกเบี้ยนโยบาย) ไว้ที่ 1.25% ตามเดิม และเป็นไปตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ อย่างไรก็ดี กนง.ได้ระบุถึงความเสี่ยงจากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่จะมีผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป
จากการที่กนง. ได้ตัดถ้อยแถลงในส่วนที่ระบุถึงความจำเป็นในการปรับจุดยืนนโยบายการเงินของไทยให้เป็นระดับที่ ;เป็นปกติ” (จากระดับที่มีความผ่อนคลายเป็นพิเศษ) ออกไปจากแถลงการณ์หลังการประชุมในรอบนี้ ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า กนง.น่าที่จะยังคงอยู่ในช่วงที่รอการประเมินผลกระทบจากปัจจัยการเมืองและปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ อาทิ ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ความมั่นคงของเส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และการเคลื่อนย้ายเงินทุนให้มีความแน่ชัด ก่อนที่จะกลับมาพร้อมส่งสัญญาณปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นสู่ภาวะปกติอีกครั้ง ซึ่งก็จะสอดรับกับแนวโน้มเงินเฟ้อที่อาจเร่งตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี 2553
ทั้งนี้ แม้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของกนง.ในเดือนมิถุนายน 2553 ยังคงมีความเป็นไปได้ แต่โอกาสของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นอาจจะต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางการเมืองซึ่งยังคงอยู่ในช่วงที่ยากจะหาข้อสรุป ณ เวลานี้ ประกอบกับยังคงไม่สามารถประเมินได้ว่า เศรษฐกิจไทยที่ถูกกระทบจากปัจจัยทางการเมืองในช่วงไตรมาสที่ 2/2553 (โดยคาดว่า จีดีพีในไตรมาสที่ 2 อาจจะหดตัวจากไตรมาสแรกประมาณร้อยละ 2.0) จะสามารถกลับเข้าสู่เส้นทางของการฟื้นตัวได้เร็วที่สุดภายในช่วงเวลา 1-2 เดือนข้างหน้าหรือไม่ ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ความเสี่ยงทางการเมืองที่อาจจะยืดเยื้อ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้วัฎจักรขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอาจถูกเลื่อนออกไป และทำให้เป็นไปได้ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของไทยในรอบนี้ คงจะตามหลังธนาคารกลางหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางออสเตรเลีย ธนาคารกลางอินเดีย ธนาคารกลางมาเลเซีย หรือแม้กระทั่งธนาคารกลางเกาหลีใต้ และธนาคารกลางจีน
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น