ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มีโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยจะมีมติปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีกร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 1.50 มาเป็นร้อยละ 1.75 ในการประชุมรอบที่ 6 ของปีในวันที่ 25 สิงหาคม 2553 ซึ่งจะเป็นการปรับนโยบายการเงินสู่ระดับที่เป็นปกติมากขึ้น (Normalized) ต่อเนื่องจากการประชุมรอบก่อนหน้า ภายใต้สถานการณ์ที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์ที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในปี 2553 (แม้ล่าสุดตัวเลขการส่งออกเดือนกรกฎาคมจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงกว่าที่คาด) ประกอบกับประมาณการอัตราเงินเฟ้อโดยเฉพาะเงินเฟ้อพื้นฐานที่มีแนวโน้มขยับสูงขึ้นในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงครึ่งแรกของปีหน้า นอกจากนี้ ยังเป็นการป้องกันความไม่สมดุลที่อาจจะเกิดขึ้นจากการปล่อยให้ระดับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงมีค่าติดลบเป็นเวลานาน ซึ่งอาจบั่นทอนแรงจูงใจในการออมของประเทศและมีผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาวด้วย
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เนื่องจากความเป็นไปได้ที่ กนง.อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอีก เป็นสิ่งที่ตลาดคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้น ประเด็นสำคัญที่คงจะมีผลต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงิน คงจะอยู่ที่มุมมองของทางการที่มีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ขณะที่ คาดว่าการปรับตัวของอัตราผลตอบแทนในตลาดเงินและตลาดพันธบัตรอาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในขอบเขตที่จำกัด โดยเฉพาะถ้าเครื่องชี้เศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศที่จะทยอยประกาศออกมาแสดงถึงสัญญาณการขยายตัวที่ช้าลง
อย่างไรก็ดี การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ในท้ายที่สุดคงจะส่งผลตามมาให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ทยอยถูกปรับขึ้นตาม ซึ่งจังหวะการปรับขึ้นจะขึ้นกับกลไกการส่งผ่านนโยบายด้วยการดูดซับสภาพคล่องผ่านเครื่องมือทางการเงินของทางการ ความสามารถในการขยายสินเชื่อใหม่ของธนาคาร และความเข้มข้นของภาวะการแข่งขันทางธุรกิจ นั่นหมายความว่า ภาคธุรกิจและครัวเรือนคงจะต้องเตรียมการเพื่อรับมือกับภาวะที่ต้นทุนทางการเงินมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในระยะข้างหน้า นอกเหนือไปจากการที่จะต้องเผชิญกับระดับเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบเงินดอลลาร์ฯ ด้วยแล้ว
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น