ในช่วงบ่ายวันที่ 25 สิงหาคม 2553 คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันอีกร้อยละ 0.25 สู่ระดับร้อยละ 1.75 ตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ โดยแถลงการณ์หลังการประชุมของกนง. ยังคงระบุถึง โอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเกินกรอบเป้าหมายของธปท.ในปี 2554 และความจำเป็นของกระบวนการปรับอัตราดอกเบี้ยเข้าสู่ระดับปกติต่อเนื่องในระยะข้างหน้า พร้อมกับระบุว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ณ ระดับปัจจุบัน ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจที่ยังคงขยายตัวได้ดี
สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมรอบที่เหลือของปี 2553 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า กนง.อาจยังคงมีหลากหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาชั่งน้ำหนักมากขึ้นนอกเหนือไปจากแนวโน้มการขยับสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 ที่อาจจะมีอัตราการเติบโตที่ชะลอลงตามทิศทางของเศรษฐกิจโลก แม้จะยังคงสามารถรักษาโมเมนตัมของการขยายตัวไว้ได้ต่อเนื่องจากช่วงครึ่งแรกของปีก็ตาม นอกจากนี้ คงต้องจับตาการหักล้างกันระหว่างปัจจัยหนุนเงินเฟ้อภายใต้สถานการณ์ที่ราคาสินค้าหลายรายการของไทยจ่อขยับขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2553 กับปัจจัยลดทอนแรงกดดันเงินเฟ้อทั้งในส่วนที่มาจากผลของการขยับแข็งค่าของเงินบาท และ/หรือความเสี่ยงในช่วงขาลงของเศรษฐกิจโลกที่อาจจะหนุนให้กระแสการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของนักลงทุนดำเนินต่อไป
ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่กดดันให้ราคาน้ำมัน/สินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ รวมถึงแรงกดดันเงินเฟ้อจากปัจจัยทางด้านอุปทานไม่เร่งตัวสูงขึ้นมากนักในระยะข้างหน้า โดยเครือธนาคารกสิกรไทยยังคงประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย อาจถูกปรับขึ้นสู่ระดับร้อยละ 2.00 ภายในสิ้นปี 2553 นี้ อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้มในปี 2554 นั้น คงต้องจับตาอัตราการขยายตัวที่ลดลงของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่ถูกคาดหมายอย่างกว้างขวาง รวมทั้งแรงกดดันเงินเฟ้อ ซึ่งปัจจัยทั้ง 2 จะเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดได้ว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของไทยจะมีความต่อเนื่องได้มากน้อยเพียงใด
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น