ในวันเดียวกันกับการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 12 มกราคม 2554 นั้น ธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ก็ได้เริ่มทยอยประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากตาม โดยปรับทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยจากระดับ 0.5% ครั้งแรกในรอบประมาณ 2 ปี และถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2537
เมื่อมองออกไปในระยะที่เหลือของปี 2554 คาดว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ไทยยังมีโอกาสขยับขึ้นได้อีก บนการคาดกาณ์ว่า ธปท.อาจเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม เพื่อลดความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ และช่วงติดลบของอัตราดอกเบี้ยแท้จริง นอกจากนี้ ยังมีแรงหนุนจากการแข่งขันที่รุนแรงของผลิตภัณฑ์เงินฝาก ทั้งกับทางเลือกในการออมอื่นๆ และระหว่างสถาบันการเงินด้วยกัน รวมถึงแนวโน้มสภาพคล่องที่อาจปรับตัวลดลง หลังสินเชื่อน่าจะยังรักษาโมเมนตัมการขยายตัวที่สูงกว่าเงินฝากและตั๋วแลกเงินอยู่ ทั้งนี้ จากเหตุผลสนับสนุนต่างๆ ข้างต้น คาดว่าธนาคารพาณิชย์ไทยยังมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำเพิ่มเติมอีกในช่วงที่เหลือของปี 2554 นี้ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนถึง 1 ปี อาจเพิ่มขึ้นด้วยขนาดที่ใกล้เคียงกับขนาดการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (ซึ่ง ณ ขณะนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 0.50%) ส่วนโอกาสการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์นั้น แม้จะมีความเป็นไปได้เช่นกัน แต่ก็น่าจะมีขนาดไม่เกิน 0.25% อันจะทำให้ขยับเข้าหาระดับ 0.75% ที่เคยเห็นในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม 2546 ถึงกุมภาพันธ์ 2552 ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็น่าจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมด้วยอัตราเร่งที่น่าจะน้อยกว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในลักษณะดังกล่าว น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับผู้ฝากเงิน แต่สำหรับผู้กู้เงินนั้น ก็คงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับต้นทุนทางการเงินที่คงขยับขึ้นสอดคล้องกันด้วย
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น