ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีกร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 2.25 มาที่ร้อยละ 2.50 ในการประชุมรอบที่ 2 ของปีในวันที่ 9 มีนาคม 2554 เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ภายใต้สถานการณ์ที่ความเสี่ยงจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อยังคงมีน้ำหนัก ขณะที่ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแรงส่งของการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง แม้ด้วยอัตราการเติบโตที่ชะลอลง นอกจากนี้ จากประสบการณ์ราคาน้ำมันแพงในปี 2551 ประกอบกับ สถานการณ์ปัจจุบันที่เศรษฐกิจโลกแม้ฟื้นตัวมีเสถียรภาพมากขึ้นหลังผ่านพ้นวิกฤต แต่ก็ยังมีความเปราะบางอยู่พอสมควรจากปัญหาที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค ดังนั้น การดำเนินนโยบายการเงินของทางการไทยผ่านการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าสู่ระดับที่เป็นปกติมากขึ้น ก็น่าที่จะเกิดขึ้นด้วยท่าทีที่ระมัดระวังหรือค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้มั่นใจว่าภาคธุรกิจเอกชนสามารถรับมือกับสภาวะที่ราคาสินค้าต่างๆ และต้นทุนทางการเงินมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นนี้ได้อย่างไม่ยากลำบากจนเกินไปนัก
เนื่องจากมติการประชุมรอบนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่ตลาดการเงินส่วนใหญ่คาดหมายไว้แล้วในระดับหนึ่ง ดังนั้น จุดสนใจของตลาดและนักวิเคราะห์คงจะอยู่ที่การส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงินของ กนง.ว่าจะมีความต่อเนื่องมากน้อยเพียงใด (โดยเฉพาะความเห็นของสมาชิก กนง.ที่จะมีการเปิดเผยออกมาในรายงานผลการประชุมอีก 2 สัปดาห์ถัดไป) รวมทั้งขึ้นอยู่กับพัฒนาการเครื่องชี้เศรษฐกิจและเงินเฟ้อของไทยเป็นหลัก ซึ่งแน่นอนว่าความคืบหน้าของสถานการณ์ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือที่จะมีผลต่อราคาน้ำมันและเศรษฐกิจโลก นโยบายด้านพลังงานของทางการไทย และประเด็นการเมืองในประเทศ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด
สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในที่สุดแล้วคงจะนำมาสู่การทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ โดยขนาดและจังหวะของการปรับขึ้น คงจะขึ้นอยู่กับมุมมองของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งที่มีต่อแนวโน้มการดำเนินธุรกิจโดยเฉพาะการขยายสินเชื่อในระยะข้างหน้า ตลอดจนความเข้มข้นของการแข่งขันระหว่างธนาคารด้วยกันเองและคู่แข่งอื่นเป็นหลัก ซึ่งภาวะดังกล่าว น่าที่จะเอื้อให้ผู้ออมมีทางเลือกการลงทุนที่หลากหลายและตอบโจทย์ได้มากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็อาจจะส่งผลกระทบต่อความต้องการสินเชื่อในสินค้าที่มีความอ่อนไหวต่อการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย อาทิ สินค้าคงทนบางรายการ ซึ่งผู้กู้อาจชะลอการตัดสินใจซื้อออกไปตามสถานการณ์และความจำเป็นของตน
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น