ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ผลการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ น่าจะมีมติให้ตรึงอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ที่ 0.00-0.25% และคงมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE2) ตามกำหนดเดิมในการประชุมรอบที่สามของปีในวันที่ 26-27 เมษายน 2554 โดยคาดว่า เฟดอาจจะเริ่มส่งสัญญาณถึงการพิจารณาแนวทางการทยอยลดนโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ให้มีความเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ขณะที่ อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับสูงและราคาที่อยู่อาศัยยังมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลง ประกอบกับแรงกดดันเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่แม้อาจมีเพิ่มขึ้น แต่ด้วยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังค่อนข้างต่ำ ก็น่าจะเอื้อให้เฟดคงจุดยืนนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างมากไว้ต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง
ทั้งนี้ แม้มติการประชุมของเฟดในรอบนี้คงจะสอดคล้องกับคาดการณ์ของตลาด โดยภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากการประชุมครั้งก่อนมากนัก แต่ปัจจัยที่ต้องจับตามอง คือ การส่งสัญญาณถึงมุมมองของเฟดในแถลงการณ์หลังการประชุม และการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในวันที่ 27 เม.ย. ที่จะมีผลต่อคาดการรณ์ของตลาดต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ การปรับตัวของกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย และทิศทางตลาดเงินตลาดทุนของโลก ตลอดจนแผนการปรับลดการขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ ในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงภาคส่วนต่างๆ ในวงกว้าง รวมถึงการพิจารณาอันดับความน่าเชือถือของสหรัฐฯ และความน่าสนใจของสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ฯ ในขณะที่ แรงกดดันเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย คงจะทำให้ธนาคารกลางเหล่านั้น ยังมีแนวโน้มให้น้ำหนักกับปัจจัยเสี่ยงนี้ และดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ยังมีความเป็นไปได้ที่ กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ถึงแม้ว่าปัจจัยเสี่ยงจากทั้งในและนอกประเทศ อาจสร้างแรงกดดันให้มีความเสี่ยงขาลงมากขึ้น ต่อเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น