ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า กนง.คงจะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน หรืออัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย อีก 0.25% จาก 3.25% มาที่ 3.50% ในวันที่ 24 สิงหาคม 2554 แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจภายนอกประเทศที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ทั้งความเสี่ยงของการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ และปัญหาหนี้ในยูโรโซนที่อาจจะลุกลามไปยังประเทศขนาดใหญ่อย่างอิตาลีและสเปน จะเป็นปัจจัยที่อาจมีน้ำหนักต่อความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยในภายภาคหน้า และยังต้องติดตามผลกระทบจากสภาวะการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดต่อไป แต่เมื่อประเมินภาพเศรษฐกิจในประเทศในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 ต่อเนื่องถึงปี 2555 ในเบื้องต้น ซึ่งแรงส่งของการขยายตัวยังมีแนวโน้มเกิดขึ้นต่อเนื่อง จากแรงหนุนของการส่งออกที่มีความยืดหยุ่นและหลากหลายในด้านตลาดคู่ค้าและสินค้าส่งออกหลัก การฟื้นตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรมหลังผลกระทบจากเหตุการณ์ในญี่ปุ่นทยอยคลี่คลาย รวมถึงการใช้จ่ายภายในประเทศที่น่าจะได้รับผลบวกจากความชัดเจนทางการเมืองและการดำเนินนโยบายเชิงกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ประกอบกับแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปัจจัยทั้งด้านอุปสงค์ อุปทาน และการคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคต ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) คงจะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จาก 3.25% มาที่ 3.50% ในการประชุมรอบที่ 6 ของปีในวันที่ 24 สิงหาคม 2554 นี้ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ทั้งนี้ แม้ตลาดจะปรับตัวรับการคาดการณ์มติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้วในระดับหนึ่ง แต่จุดสนใจคงจะอยู่ที่การส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไปของ กนง. ซึ่งต้องติดตามพัฒนาการเครื่องชี้เศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะสหรัฐฯและยูโรโซนในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า หากยังคงให้ภาพในเชิงลบอย่างต่อเนื่องก็คงจะเพิ่มน้ำหนักความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจโลกรวมถึงเศรษฐกิจไทย ตลอดจนมีผลต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินในรอบถัดๆไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น