ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 3.00% ในการประชุมรอบที่สองของปีในวันที่ 21 มีนาคม 2555 นี้ เพื่อดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ที่ภาพการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายของภาครัฐ ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น ขณะเดียวกัน ปัจจัยภายนอกประเทศโดยเฉพาะประเด็นวิกฤตหนี้ยุโรปที่เรื้อรัง และการชะลอตัวของเศรษฐกิจเอเชียนำโดยจีน ก็อาจสร้างความเปราะบางให้กับการส่งออกและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม ด้วยแรงกดดันเงินเฟ้อในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี จากการปรับตัวสูงของราคาน้ำมันตลาดโลก รวมถึงนโยบายภาครัฐที่มีผลต่อต้นทุนการผลิตและราคาสินค้า ทำให้คาดว่า กนง.จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก โดย กนง.คงเลือกที่จะรอประเมินความชัดเจนของการฟื้นตัวของเครื่องชี้เศรษฐกิจภายในประเทศ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจหลักในโลก ตลอดจนสถานการณ์ราคาน้ำมันจากข้อพิพาทในอิหร่าน ก่อนที่จะตัดสินใจจุดยืนการดำเนินนโยบายการเงินต่อไป ซึ่งต้องยอมรับว่า หากราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงยืนสูงต่อเนื่อง ก็อาจสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อและเป็นความท้าทายสำหรับการพิจารณานโยบายการเงินได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม จากท่าทีของธนาคารแห่งประเทศไทยที่สะท้อนการให้น้ำหนักกับการดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจเป็นหลัก ขณะที่ประเมินว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อยังสามารถบริหารจัดการได้ ทำให้คาดว่า กนง. คงยังไม่มีการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมรอบที่จะถึงนี้ ซึ่งก็สอดคล้องกับการคาดการณ์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย นอกจากนี้ คงต้องติดตามการพิจารณากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งแม้อาจไม่ได้เปลี่ยนภาพจุดยืนด้านนโยบายการเงินของทางการอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็อาจมีผลต่อการคาดการณ์ของตลาดต่อแนวทางและจังหวะเวลาของการปรับเปลี่ยนนโยบายของทางการได้
สำหรับภาพรวมอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินและอัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์นั้น คาดว่าจะมีระดับที่ค่อนข้างทรงตัว สอดคล้องกับระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะเดียวกัน ด้วยกลไกการแข่งขันเพื่อรักษาฐานลูกค้า คงจะทำให้ธนาคารพาณิชย์น่าจะยังนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินออมที่ให้ผลตอบแทนจูงใจและแข่งขันได้กับช่องทางการออมอื่นๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากการลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากลงเหลือไม่เกิน 1 ล้านบาท/ผู้ฝาก/สถาบันการเงิน ยังคงมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2555 ตามแนวทางที่กำหนดไว้เดิม
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น