Display mode (Doesn't show in master page preview)

22 ธันวาคม 2548

ตลาดการเงิน

ทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 2549 : ทดสอบ 800 จุด

คะแนนเฉลี่ย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยพิจารณาปัจจัยต่างๆที่คาดว่าจะมีผลกระทบต่อแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยในปี 2549 โดยเห็นว่าถึงแม้ภาพรวมของตลาดหุ้นปีหน้ายังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนอยู่หลายประการ แต่ยังคงมีอีกหลายปัจจัยที่น่าจะมีส่วนช่วยหนุนให้ดัชนีสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้จากในปีนี้ โดยปัจจัยที่สำคัญ น่าจะได้แก่ แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2549 ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะสามารถขยายตัวได้ในอัตราร้อยละ 4.5 - 5.0 เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวในปีนี้ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 4.2-4.5 อันเป็นผลมาจากการใช้จ่ายภายในประเทศ ทั้งจากการลงทุนของโครงการภาครัฐ และการใช้จ่ายของภาคเอกชนจากราคาน้ำมันและระดับราคาในประเทศที่มีเสถียรภาพมากขึ้น, การเข้าซื้อหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ เพื่อเก็งกำไรจากแนวโน้มการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ คาดว่าค่าเงินบาทในปี 2549 อาจจะได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกหลายประการ เช่น การคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับค่าเงินหยวนของจีน ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินสกุลอื่นๆในภูมิภาครวมไปถึงค่าเงินบาท และแรงบวกจากการแข็งค่าของเงินเยน หลังจากที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นน่าจะหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืดได้ในปี 2549 นอกจากนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆในภูมิภาคแล้วจะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา ตลาดหุ้นไทยมีอัตราผลตอบแทนที่ร้อยละ 3.47 และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ร้อยละ 3.53 ซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้างน่าพอใจ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังมีราคาถูกกว่ากว่าตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคค่อนข้างมาก โดยมีค่า P/E อยู่ที่ประมาณ 8.9 เท่า ทำให้น่าจะเป็นอีกปัจจัยที่ดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น ,การเปิดตลาดอนุพันธ์ จากการที่ทางตลาดอนุพันธ์ได้กำหนดวันเปิดทำการซื้อขายวันแรกในวันที่ 28 เมษายน 2549 โดยสินค้าที่จะเริ่มทำการซื้อขายเป็นอันดับแรกนั้น ได้แก่ SET50 Index Futures ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเสริมการลงทุนในตลาดหุ้นในหลายๆด้าน เช่น ด้านการใช้อนุพันธ์เป็นเครื่องมือเพื่อบริหารความเสี่ยงจากการลงทุนในหลักทรัพย์ ,การเปิดการค้าเสรี คาดว่าการเปิดการค้าเสรีจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวของภาคธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์จากการส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น การส่งออกผักและผลไม้เมืองร้อน, อาหารแปรรูป, อาหารกระป๋อง, ทูน่ากระป๋อง, กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ และสิ่งทอ เป็นต้น,การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งซึ่งเลื่อนเข้าตลาดในปีหน้าแทน โดยบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งมีความต้องการเลื่อนการเข้าตลาดเพื่อรอให้บรรยากาศการลงทุนฟื้นตัวขึ้นกว่าในปัจจุบัน เนื่องจากการที่ทางรัฐบาลได้ขยายเวลาที่จะยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีออกไป ซึ่งทางตลาดหลักทรัพย์ได้คาดว่าจำนวนบริษัทจดทะเบียนใหม่ในปีหน้าจะเพิ่มเป็น 100 บริษัท (60 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์และอีก 40 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ใหม่) มีมูลค่าตลาดรวมกัน 3 แสนล้านบาท เพิ่มจากเป้าหมายในปีนี้ที่ 50 บริษัท อย่างไรก็ตาม นอกจากปัจจัยบวกต่างๆดังที่ได้กล่าวในข้างต้นแล้วนั้น ทิศทางของตลาดหุ้นไทยในปีหน้ายังมีปัจจัยต่างๆที่ต้องจับตามองอีกหลายประการ เช่น ปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศ, ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกในปีหน้ามีแนวโน้มที่จะยังทรงตัวในระดับสูงแต่มีความเป็นไปได้ที่จะชะลอตัวลงจากในปีนี้, ความคืบหน้าของการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาล,การเข้าจดทะเบียนของหุ้นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการจัดตั้งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ(กสช.)

ถึงแม้ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นปีหน้าจะยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนหลายประการ แต่หากว่าปัจจัยต่างๆไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางการเมืองในประเทศ, ทิศทางของราคาน้ำมันในตลาดโลก, การลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาล, การเข้าจดทะเบียนของหุ้นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ มีความชัดเจนขึ้นและมีการคลี่คลายไปในทิศทางที่เอื้ออำนวยตามที่นักลงทุนได้คาดการณ์ไว้ย่อมจะเป็นแรงหนุนให้ดัชนีจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้ คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปี 2549 คงจะมีการเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 750-780 จุดโดยเฉลี่ย โดยคาดว่าดัชนีจะสามารถปรับตัวขึ้นไปถึง 800 จุดได้ในบางช่วง นอกจากนั้นแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีความเห็นว่าผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยรวมในปีหน้าน่าคงจะมีการขยายตัวในอัตราที่ลดลงจากประมาณ 4.5 แสนล้านบาทในปีนี้ เนื่องจากการที่ผลกำไรของกลุ่มพลังงานและธนาคาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนมูลค่าตลาดค่อนข้างมากอาจจะขยายตัวไม่มากเท่ากับในปีที่ผ่านมา อันเป็นผลจากราคาน้ำมันที่คาดว่าจะชะลอตัวลง, อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้นซึ่งจำกัดการเติบโตของสินเชื่อ ประกอบกับธนาคารพาณิชย์บางแห่งจะเริ่มเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในปีหน้า ซึ่งในช่วงแรกของการขึ้นดอกเบี้ยที่ผ่านมานั้น ธนาคารพาณิชย์เป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์เนื่องจากยังไม่ได้รับรู้ต้นทุนเงินฝากที่เพิ่มขึ้นโดยทันที แต่จะสะท้อนเป็นต้นทุนที่ชัดเจนขึ้นในปีหน้าหลังจากที่เงินฝากเหล่านั้นเริ่มทยอยครบกำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม การที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในปีหน้าคงจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนการบริโภคภายในประเทศซึ่งเป็นการช่วยหนุนราคาหุ้นในกลุ่มค้าปลีกและทำให้หุ้นในกลุ่มธนาคารยังคงเป็นที่สนใจของนักลงทุน จากความต้องการสินเชื่อของภาคธุรกิจที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิตสูง, อุตสาหกรรมก่อสร้าง และการท่องเที่ยว ทั้งนี้ นอกจากหุ้นในกลุ่มค้าปลีกและธนาคารแล้ว หุ้นในกลุ่มที่น่าจะได้รับประโยชน์จากการค้าเสรี เช่น กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน และสินค้าเกษตร คงจะเป็นอีกกลุ่มที่มีความน่าสนใจเช่นกัน ในขณะที่ความชัดเจนของการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ และการจัดตั้งคณะกรรมการ กสช.จะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและกลุ่มสื่อสารในปีหน้า ซึ่งนักลงทุนคงจะติดตามอย่างใกล้ชิดว่าปัจจัยเหล่านั้นจะมีการคลี่คลายไปในทิศทางใด

ดูรายละเอียดฉบับเต็ม


ตลาดการเงิน