ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด คงจะมีมติให้ตรึงอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ไว้ที่ร้อยละ 5.25 ตามเดิม ในการประชุมรอบที่สี่ของปีในวันที่ 27-28 มิถุนายน 2550 นี้ ทั้งนี้เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าเครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯส่วนใหญ่จะมีทิศทางการปรับตัวที่ดีกว่าคาด ทั้งเครื่องชี้ในตลาดแรงงาน ภาคการผลิต และภาคการบริการ แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯโดยรวมก็ยังคงสะท้อนภาพการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงต่ำกว่าระดับศักยภาพในปีนี้ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง (หลังจากที่อาจมีแนวโน้มเติบโตได้สูงในไตรมาสที่สอง) ในขณะที่ แม้ว่าทิศทางอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งยังคงเป็นน้ำหนักความเสี่ยงที่เฟดให้ความสำคัญเป็นหลักในขณะนี้ อาจจะยังไม่ชะลอตัวลงมาอย่างชัดเจน อีกทั้งราคาน้ำมันตลาดโลกที่ยังมีแนวโน้มผันผวนในระดับสูง แต่การทยอยปรับตัวลงของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและแนวโน้มการชะลอลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็คาดว่าจะช่วยให้แรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อยังคงอยู่ภายในระดับที่บริหารจัดการได้ของเฟด ดังนั้น จากปัจจัยแวดล้อมข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงมองว่า เฟดยังมีความยืดหยุ่นที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้โดยที่ยังไม่จำเป็นต้องเร่งรีบเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินทั้งในลักษณะที่เข้มงวดมากขึ้นหรือผ่อนคลายลงในระยะใกล้นี้ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามแถลงการณ์หลังการประชุมซึ่งจะบ่งชี้ถึงมุมมองที่เฟดมีต่อความเสี่ยงทั้งด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจและด้านเงินเฟ้อ ตลอดจนการปรับตัวของเครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯที่สำคัญ โดยเฉพาะในตลาดแรงงานและตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งคาดว่าจะมีอิทธิพลต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ของเฟดในระยะถัดๆ ไป
สำหรับผลกระทบต่อไทยนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า การปรับตัวของเครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ และมุมมองที่มีต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟด คงจะมีอิทธิพลต่อทิศทางตลาดเงินและตลาดทุนไทยผ่านทิศทางค่าเงินบาท/ดอลลาร์ฯ และอัตราผลตอบแทนในตลาดพันธบัตรไทย ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา (ซึ่งการเปลี่ยนแปลงการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของเฟด จากแนวโน้มขาลงมาเป็นแนวโน้มขาขึ้น ได้ทำให้เงินดอลลาร์ฯปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น รวมถึงเงินบาท อีกทั้งยังมีส่วนทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของไทยขยับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย) กระนั้นก็ดี แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ คงจะไม่ใช่น้ำหนักหลักที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจนโยบายอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยมากเท่ากับแนวโน้มการปรับตัวของเครื่องชี้เศรษฐกิจและเงินเฟ้อของไทย ซึ่งยังคงเป็นสิ่งที่จะต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไป
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น