กล่าวโดยสรุปได้ว่า การที่ทางคณะรัฐมนตรีได้มีการอนุมัติร่างแก้ไขกฎกระทรวงเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุน RMF ตามที่ทางกระทรวงการคลังเสนอเมื่อวันที่ 18 กันยายน ที่ผ่านมา โดยได้ระบุให้เงินหรือผลประโยชน์ใดๆที่ได้รับจากการขายคืนหน่วยลงทุนของกองทุน RMF จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้จากการขายคืนหน่วยลงทุน และไม่ต้องคืนเงินค่าลดหย่อนทางภาษีจากค่าซื้อหน่วยลงทุนต่อเมื่อผู้ลงทุนถือหน่วยลงทุนเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปีและมีอายุไม่น้อยกว่า 55 ปีบริบูรณ์ และกำหนดให้กฎหมายที่จะเสนอแก้ไขครั้งนี้มีผลบังคับไปข้างหน้า โดยให้มีผลทางภาษีสำหรับหน่วยลงทุนที่จะได้มีการซื้อตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2550 เป็นต้นไปนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า จะช่วยส่งผลให้ผู้ที่เข้ามาลงทุนในกองทุน RMF เป็นกลุ่มที่ต้องการลงทุนในระยะยาวอย่างแท้จริง ซึ่งจะสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งกองทุน RMF ในการออมเพื่อการเกษียณอายุ และยังช่วยลดความสับสนของผู้ลงทุนเกี่ยวกับเงื่อนไขการลงทุนในกอง RMF ซึ่งเดิมค่อนข้างมีความซับซ้อนและก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในวงกว้างในช่วงที่ผ่านมา จากเดิมที่ผู้ลงทุนมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าการขายคืนหน่วยลงทุนหลังจากถือมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ปีจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเช่นเดียวกันกับการถือหน่วยลงทุนจนถึงอายุ 55 ปีทุกประการ ทำให้มีการเข้าลงทุนเพื่อต้องการสิทธิประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีจากการซื้อหน่วยลงทุนและขายทำกำไรหลังจากถือหน่วยลงทุนครบ 5 ปีแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองในด้านการสนับสนุนการขยายตัวของกองทุน RMF แล้ว การที่ระบุให้ต้องถือหน่วยลงทุนจนถึงอายุ 55 ปีอาจจะทำให้ความสนใจในการเข้าซื้อกองทุนดังกล่าวลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับทางเลือกในการลงทุนโดยวิธีอื่นๆ ซึ่งจะกระทบต่อมูลค่าทรัพย์สินสุทธิและการขยายตัวของกองทุนประเภทนี้ในระยะต่อไปได้เช่นกัน นอกจากนั้น ทางเลือกในการลงทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนในแต่ละช่วงอายุย่อมมีความแตกต่างกัน โดยการที่กองทุน RMF มีการกำหนดเงื่อนไขในการถือหน่วยลงทุนจนถึงอายุ 55 ปีดังกล่าวน่าจะส่งผลให้เป็นที่สนใจของกลุ่มผู้ลงทุนในวัยที่ใกล้เกษียณอายุ (หรือ ประมาณ 50 ปีขึ้นไป) มากกว่ากลุ่มวัยรุ่นหรือวัยที่เริ่มทำงาน โดยผู้ลงทุนคงจะเปรียบเทียบระหว่างสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีและอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังจากกองทุน RMF ในอนาคตข้างหน้า กับความสามารถในการปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุนของกองทุน RMF รวมถึงอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้จากการลงทุนช่องทางอื่นๆว่าทางเลือกใดจะตอบสนองความต้องการลงทุนได้มากที่สุด Ω
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น