• ดัชนีหุ้นไทยปิดบวกติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 4 โดยแตะจุดสูงสุดในรอบ 8 เดือนช่วงท้ายสัปดาห์
หุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบช่วงต้นถึงกลางสัปดาห์ เนื่องจากไร้ปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาหนุน ประกอบกับเผชิญแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลง ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังอยู่ในฝั่งขายสุทธิ และตลาดในภาพรวมยังรอติดตามประเด็นการเมืองในประเทศอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ดีดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งกลับมายืนเหนือ 1,400 จุดในช่วงต่อมาท่ามกลางแรงซื้อของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ โดยหุ้นไทยมีแรงหนุนหลักๆ จากเรื่องความชัดเจนเกี่ยวกับการจัดตั้งครม. และประเด็นเกี่ยวกับการเปิดจองซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวกระตุ้นแรงซื้อเข้ามาในหุ้นหลายกลุ่ม นอกจากนี้ SET Index ยังขยับขึ้นต่อเนื่องในช่วงปลายสัปดาห์ โดยแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือนที่ 1,431.24 จุด โดยมูลค่าการซื้อขายช่วงท้ายสัปดาห์ค่อนข้างสูงทะลุหลัก 100,000 ล้านบาท แตะระดับมูลค่าซื้อขายรายวันสูงสุดในรอบเกือบ 1 ปี 7 เดือน
• ในวันศุกร์ที่ 6 ก.ย. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,427.64 จุด เพิ่มขึ้น 5.05% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 60,737.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.35% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 5.25% มาปิดที่ระดับ 344.66 จุด
• สัปดาห์ถัดไป (9-13 ก.ย.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,415 และ 1,400 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,440 และ 1,455 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนส.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุม ECB ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2567 ของญี่ปุ่น ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนส.ค. ของจีน ตลอดข้อมูลผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค. ของญี่ปุ่นและยูโรโซน
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น