• ดัชนีหุ้นไทยแตะจุดต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปีครึ่ง ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนช่วงปลายสัปดาห์
สัปดาห์นี้หุ้นไทยปรับตัวลงสวนทางกับภาพรวมของตลาดหุ้นภูมิภาคที่ปรับตัวขึ้น โดยตลาดหุ้นไทยยังเผชิญแรงขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของประเด็นการเมืองในประเทศ ซึ่งอาจมีผลกระทบทำให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศล่าช้า ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวกระตุ้นให้เกิดแรงเทขายทำกำไรในหุ้นหลายกลุ่มอุตสาหกรรม นำโดยพลังงาน ไฟแนนซ์ แบงก์และอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ดีหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวสวนทางภาพรวม เพราะมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
ทั้งนี้หุ้นไทยแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี 6 เดือนที่ 1,325.71 จุดในระหว่างสัปดาห์ ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนในช่วงปลายสัปดาห์ อย่างไรก็ดี กรอบการปรับขึ้นยังจำกัด เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังในการลงทุนระหว่างรอติดตามผลการประชุมเฟดและการประชุมกนง. ในสัปดาห์หน้า
ในวันศุกร์ที่ 7 มิ.ย. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,332.74 จุด ลดลง 0.96% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 42,637.72 ล้านบาท ลดลง 7.86% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 3.12% มาปิดที่ระดับ 368.08 จุด
• สัปดาห์ถัดไป (10-14 มิ.ย.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,325 และ 1,310 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,345 และ 1,360 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมเฟด (11-12 มิ.ย.) การประชุมกนง. (12 มิ.ย.) และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนพ.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุม BOJ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/2567 ของญี่ปุ่น ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย.ของยูโรโซน ตลอดจนดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนพ.ค. ของจีน
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น