- ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงแรงในช่วงต้นสัปดาห์ก่อนจะทยอยฟื้นตัวในช่วงที่เหลือของสัปดาห์
หุ้นไทยร่วงลงแรงเกือบ 40 จุดและแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี 9 เดือนที่ 1,273.17 จุดในช่วงต้นสัปดาห์ โดยการปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทยสอดคล้องกับทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หลังข้อมูลตลาดแรงงานของสหรัฐฯ หลายตัวออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม
หุ้นไทยทยอยฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงกลางสัปดาห์ตามทิศทางหุ้นภูมิภาค เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลบางส่วนต่อประเด็นเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอย ประกอบกับมีแรงซื้อคืนหุ้นบางส่วน โดยเฉพาะในกลุ่มสื่อสารจากประเด็นผลประกอบการที่ออกมาค่อนข้างดีและการประกาศจ่ายปันผล และกลุ่มพลังงานที่ได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก อย่างไรก็ดีกรอบการปรับขึ้นของหุ้นไทยในช่วงปลายสัปดาห์ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากมีวันหยุดยาวและนักลงทุนยังรอติดตามประเด็นการเมืองในประเทศในสัปดาห์หน้าอย่างใกล้ชิด
- ในวันศุกร์ที่ 9 ส.ค. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,297.07 จุด ลดลง 1.22% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 43,273.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.27% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 3.27% มาปิดที่ระดับ 312.00 จุด
- สัปดาห์ถัดไป (12-16 ส.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,290 และ 1,280 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,310 และ 1,320 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ประเด็นการเมืองในประเทศ ผลประกอบการไตรมาส 2/2567 ของบจ.ไทย และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคาผู้บริโภค ยอดค้าปลีกและข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านเดือนก.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2567 ของยูโรโซน อังกฤษและญี่ปุ่น ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย.ของยูโรโซนและญี่ปุ่น ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนก.ค.ของจีน อาทิ ยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น