• ดัชนีหุ้นไทยแตะจุดต่ำสุดใหม่ในรอบกว่า 3 ปี 7 เดือน ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่อง
หุ้นไทยร่วงลงแรงช่วงต้นสัปดาห์ตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาคท่ามกลางความกังวลว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานาน หลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ค. ของสหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าตลาดคาด ประกอบกับนักลงทุนยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับประเด็นการเมืองในประเทศ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวกระตุ้นแรงเทขายทำกำไรในหุ้นหลายกลุ่มอุตสาหกรรม นำโดย ไฟแนนซ์ อสังหาริมทรัพย์และพลังงาน
หุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบแคบในเวลาต่อมาก่อนจะทยอยปรับตัวลงอีกครั้งหลังการประชุมเฟด เนื่องจากเฟดส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ประกอบกับนักลงทุนมีความระมัดระวังในการลงทุนระหว่างรอติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศ โดยหุ้นไทยแตะจุดต่ำสุดครั้งใหม่ในรอบ 3 ปี 7 เดือนที่ 1,304.31 จุดในช่วงปลายสัปดาห์ ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาได้เล็กน้อย ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงมีสถานะขายสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่อง (17 วันทำการ) อนึ่ง สัปดาห์นี้หุ้นกลุ่มแบงก์ (มีแรงหนุนจากประเด็นกนง.มีมติคงดอกเบี้ยในการประชุมรอบล่าสุด) และเทคโนโลยี (มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว) ปรับตัวขึ้นสวนทางหุ้นในกลุ่มอื่นๆ
ในวันศุกร์ที่ 14 มิ.ย. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,306.56 จุด ลดลง 1.96% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 41,458.19 ล้านบาท ลดลง 2.77% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 3.31% มาปิดที่ระดับ 355.91 จุด
• สัปดาห์ถัดไป (17-21 มิ.ย.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,300 และ 1,285 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,315 และ 1,325 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ประเด็นการเมืองในประเทศและทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ค. ดัชนี PMI (เบื้องต้น) เดือนมิ.ย. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนี PMI (เบื้องต้น) เดือนมิ.ย. ของยูโรโซน อังกฤษและญี่ปุ่น การกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR เดือนมิ.ย. และข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ค. ของจีน อาทิ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น