• ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงกดดันเกือบตลอดสัปดาห์ท่ามกลางแรงขายอย่างหนักจากนักลงทุนต่างชาติ
หุ้นไทยปรับตัวลงในช่วงต้น-กลางสัปดาห์ในระหว่างรอติดตามผลการประชุมเฟด โดยหุ้นที่เผชิญแรงเทขายหลักๆ เป็นหุ้นบิ๊กแคปในกลุ่มวัสดุก่อสร้างและกลุ่มพลังงานจากปัจจัยเฉพาะของแต่ละบริษัท แต่หุ้นไทยดีดตัวขึ้นช่วงสั้นๆ ในช่วงต่อมาสอดคล้องกับทิศทางของตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาคหลังผลการประชุมเฟด ซึ่งมีสัญญาณบ่งชี้ว่า ยังมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งในปีนี้ตามมุมมองเดิมในช่วงการประชุม FOMC เดือนธ.ค. 2566
อย่างไรก็ดี หุ้นไทยกลับมาเผชิญแรงขายอีกครั้งช่วงปลายสัปดาห์ เนื่องจากยังขาดปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาหนุน ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติกลับมามีสถานะขายสุทธิหุ้นไทยอีกครั้ง อนึ่ง นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยในสัปดาห์ 18-22 มี.ค. 2567 เป็นมูลค่ามากถึง 37,762 ล้านบาท
ในวันศุกร์ที่ 22 มี.ค. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,381.04 จุด ลดลง 0.36% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 45,817.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.50% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 0.83% มาปิดที่ระดับ 415.28 จุด
• สัปดาห์ถัดไป (25-29 มี.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,370 และ 1,360 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,390 และ 1,400 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขส่งออกเดือนก.พ. ของไทย และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล ดัชนี PCE/Core PCE Price Index เดือนก.พ. ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/66 รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ กำไรบริษัทภาคอุตสาหกรรมเดือนม.ค.-ก.พ. ของจีน ตลอดจนยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.พ.ของญี่ปุ่น
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น