- ดัชนีหุ้นไทยแตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 7 เดือนท่ามกลางปัจจัยบวกจากทั้งในและต่างประเทศ
SET Index แกว่งตัวในกรอบแคบช่วงต้นสัปดาห์ เนื่องจากหุ้นบิ๊กแคปบางตัวเผชิญแรงกดดันจากการคาดการณ์ว่าจะได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท อย่างไรก็ดี ดัชนีตลาดหุ้นไทยทยอยปรับตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มค้าปลีก ท่ามกลางแรงหนุนจากความหวังว่าการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ของไทยจะเป็นไปอย่างราบรื่นและจะมีการออกมาตรการตามมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบกับตลาดมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในการประชุม 16-17 ก.ย. นี้
นอกจากนี้ แรงซื้อหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ตามทิศทางหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ รวมถึงหุ้นกลุ่มพลังงานตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้น ก็มีส่วนช่วยหนุนให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ SET Index ปรับตัวขึ้นไปแตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 7 เดือนที่ 1,299.19 จุดช่วงท้ายสัปดาห์ อนึ่ง สัปดาห์นี้หุ้นกลุ่มแบงก์ปรับตัวลงสวนทางภาพรวม เนื่องจากมีการขึ้นเครื่องหมาย XD ในระหว่างสัปดาห์
- ในวันศุกร์ที่ 12 ก.ย. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,293.62 จุด เพิ่มขึ้น 2.28% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 45,962.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.76% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.90% มาปิดที่ระดับ 254.61 จุด
- สัปดาห์ถัดไป (15-19 ก.ย. 68) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,275 และ 1,255 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,300 และ 1,315 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมเฟด (16-17 ก.ย.)ประเด็นการเมืองในประเทศ รวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านเดือนส.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ การประชุม BOE และ BOJ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนส.ค. ของญี่ปุ่น ยูโรโซนและอังกฤษ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค. ของยูโรโซน ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนส.ค. ของจีน อาทิ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น