- ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตลอดสัปดาห์ โดยมีแรงหนุนจากปัจจัยบวกในประเทศ
หุ้นไทยดีดตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ โดยมีปัจจัยหนุนหลักๆมาจากรายงานตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2567 ของไทยที่ขยายตัวได้ 2.3% YoY ซึ่งดีกว่าตลาดคาดการณ์ ประกอบกับนักลงทุนคลายความกังวลบางส่วนต่อประเด็นการเมืองในประเทศและกลับมาคาดหวังเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลชุดใหม่ โดยประเด็นดังกล่าวกระตุ้นแรงซื้อหุ้นในทุกอุตสาหกรรมโดยเฉพาะกลุ่มไฟแนนซ์ แบงก์และค้าปลีก นอกจากนี้หุ้นไทยยังมีแรงหนุนจากการคาดการณ์เรื่องการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดด้วยเช่นกัน
หุ้นไทยขยับขึ้นต่อเนื่องจนถึงช่วงปลายสัปดาห์ โดยยังคงมีแรงซื้อเข้ามาในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มแบงก์ที่มีประเด็นบวกเพิ่มเติมจากการที่กนง. มีมติคงดอกเบี้ยในการประชุมรอบล่าสุดและการประกาศจ่ายเงินปันผลของกลุ่มแบงก์ อนึ่งนักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาขายสุทธิหุ้นไทยอีกครั้งในสัปดาห์นี้ หลังจากซื้อสุทธิหุ้นไทยติดต่อกันได้ 2 สัปดาห์
- ในวันศุกร์ที่ 23 ส.ค. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,354.87 จุด เพิ่มขึ้น 3.98% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 50,552.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.24% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 4.02% มาปิดที่ระดับ 329.40 จุด
- สัปดาห์ถัดไป (26-30 ส.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,340 และ 1,330 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,365 และ 1,375 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขส่งออกเดือนก.ค. ของไทย ประเด็นการเมืองในประเทศ และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล และดัชนีราคา PCE/Core PCE เดือนก.ค. ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2567 รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ กำไรบริษัทภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค.ของจีน ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนส.ค.ของยูโรโซน รวมถึงยอดค้าปลีกเดือนก.ค.ของญี่ปุ่น
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น