• ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงเกือบตลอดสัปดาห์ตามแรงขายของกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ แต่ฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนช่วงปลายสัปดาห์
หุ้นไทยปรับตัวลงตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์และหลุดแนว 1,300 จุดในช่วงกลางสัปดาห์ ท่ามกลางแรงขายต่อเนื่องจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มไฟแนนซ์ จากความกังวลเรื่องแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2567 หลังกลุ่มแบงก์ที่เพิ่งรายงานผลประกอบการเสร็จสิ้นไปมีการตั้งสำรองฯ ในระดับที่ค่อนข้างสูง รวมถึงกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลง นอกจากนี้ ประเด็นการเมืองในประเทศที่ยังคงต้องติดตามต่อเนื่อง และการปรับตัวลงของหุ้นภูมิภาคตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่รายงานผลประกอบการที่อ่อนแอ ก็เป็นปัจจัยที่กดดันหุ้นไทยในระหว่างสัปดาห์ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดีหุ้นไทยฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วน โดยกลับมายืนเหนือ 1,300 จุดได้อีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์ สอดคล้องกับทิศทางหุ้นภูมิภาคที่ดีดตัวขึ้น ประกอบกับมีปัจจัยบวกจากการปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้โดยกระทรวงการคลัง (จาก 2.4% เป็น 2.7%)
• ในวันศุกร์ที่ 26 ก.ค. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,307.21 จุด ลดลง 0.75% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 36,084.27 ล้านบาท ลดลง 9.25% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 2.56% มาปิดที่ระดับ 328.18 จุด
• สัปดาห์ถัดไป (29 ก.ค.-2 ส.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,290 และ 1,280 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,315 และ 1,325 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมเฟด (30-31 ก.ค.) ผลประกอบการไตรมาส 2/2567 ของบจ.ไทย และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิต การจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงานเดือนก.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุม BOJ จีดีพีไตรมาส 2/2567 และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนก.ค. (เบื้องต้น) ของยูโรโซน ตลอดจนดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนก.ค. ของจีน ญี่ปุ่น ยูโรโซนและอังกฤษ
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น