Display mode (Doesn't show in master page preview)

1 เมษายน 2568

Econ Digest

พื้นที่ทางการคลังของไทยมีจำกัด รับความเสี่ยงเศรษฐกิจได้น้อยลง

คะแนนเฉลี่ย
  • นับตั้งแต่หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 พื้นที่ทางการคลังของไทยลดลงอย่างมากสะท้อนจากการขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูง
  • พื้นที่ทางการคลังที่มีจำกัดขึ้น ส่งสัญญาณถึงความสำคัญในการบริหารจัดการการคลังที่เหมาะสม เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า


พื้นที่ทางการคลังสำหรับใช้ดำเนินนโยบายของไทยลดลง

        นับตั้งแต่หลังช่วงโควิด-19 พื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) ของไทยลดลงอย่างมาก ส่งผลให้การดำเนินนโยบายทางการคลังเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจมีจำกัดมากขึ้น พื้นที่ทางการคลังไทยในกรอบงบประมาณ มาจากการขาดดุลงบประมาณประจำปี ซึ่งกรอบกฎหมายกำหนดไว้ที่ 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และ 80% ของงบประมาณสำหรับชำระเงินต้นกู้ หากรัฐบาลมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ รัฐบาลสามารถกู้เงินเพื่อชดเชย
        การขาดดุลงบประมาณได้ (รูปที่ 1) ทั้งนี้ ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา แม้ว่ารัฐบาลจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลอย่างต่อเนื่อง แต่พื้นที่การคลังยังเหลือพอที่จะขาดดุลงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อนำมาดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับแต่ละช่วงเวลา

        ในปี 2568 ไทยแทบไม่เหลือพื้นที่การคลัง โดยไทยขาดดุลงบประมาณประจำปีเข้าใกล้กรอบกฎหมายนับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา สะท้อนข้อจำกัดในการขาดดุลงบประมาณเพิ่มเติมต่างจากในอดีต (รูปที่ 2) เนื่องจากไทยมีงบประมาณรายจ่ายที่เป็นภาระผูกพัน ไม่สามารถปรับลดได้ อาทิ เงินเดือน/ค่าจ้าง และการชำระหนี้คงค้าง ซึ่งมีสัดส่วนราว 23% และ 10% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ตามลำดับ ส่งผลให้รัฐบาลจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลสูงถึง 4.5% ของ GDP ในปีเดียวกัน (รูปที่ 3)

        อย่างไรก็ดี ในกรณีฉุกเฉินที่มีความจําเป็นเร่งด่วนซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ รัฐบาลยังมีพื้นที่การคลังจากแหล่งเงินกู้นอกงบประมาณ ซึ่งมีกรอบเพดานหนี้สาธารณะเพื่อรักษาวินัยทางการคลัง โดยที่ผ่านมามีการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อกู้เงินรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจอยู่หลายครั้ง และล่าสุดการออก พ.ร.ก. กู้เงินจำนวน 1.5 ล้านล้านบาทในปี 2563-2564 เพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้หนี้สาธารณะไทยเพิ่มขึ้นมาก และมีการขยับเพดานหนี้สาธารณะมาอยู่ที่ไม่เกิน 70% จาก 60% ในปี 2564
        หนี้สาธารณะไทยอยู่ที่ระดับ 64.2% ของ GDP ในเดือน ก.พ. 2568 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า แนวโน้มหนี้สาธารณะของไทยจะแตะระดับเพดานที่ 70% ต่อ GDP ในปี 2570 (รูปที่ 4) แม้ว่าแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2569-2572) ระบุว่ารัฐบาลมีแผนจะขาดดุลงบประมาณลดลง แต่ระดับหนี้สาธารณะยังอยู่ในระดับสูง ในขณะที่เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้าหลังโควิด-19 ท่ามกลางประเด็นเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยที่ส่งผลต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ชะลอลง
        หากจะขยับเพดานหนี้สาธารณะขึ้น ต้องคำนึงถึงความยั่งยืนทางการคลัง และความเสี่ยงต่อการปรับลดมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit rating) ซึ่งจะส่งผลมายังต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นในระยะข้างหน้า ยกตัวอย่าง โครเอเชียและไซปรัสซึ่งเคยมีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับ BBB+ เช่นเดียวกับไทย (S&P Global) ได้รับการปรับอันดับขึ้นเป็น A- ในช่วงปลายปี 2567 จากฐานะการคลังที่ดีขึ้น สะท้อนจากระดับหนี้สาธารณะที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (รูปที่ 5)

        นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีพื้นที่การคลังผ่านการดำเนินกิจกรรมกึ่งการคลัง (Quasi fiscal) โดยให้หน่วยงานของรัฐรับภาระในการดําเนินมาตรการตามที่รัฐบาลกำหนด แต่ต้องอยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ของหน่วยงานรัฐนั้นๆ โดยรัฐบาลต้องรับชดเชยค่าใช้จ่ายหรือรายได้ที่สูญเสียไปของหน่วยงานรัฐนั้น ซึ่งยอดคงค้างที่รัฐต้องชดเชยถูกกำหนดไว้ไม่เกิน 32% ของงบประมาณประจำปี โดยในปี 2568 รัฐบาลประมาณการไว้ราว 1.03 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 27.4% ของประมาณ
        โดยสรุป พื้นที่การคลังไทยลดลงมากจากช่วงวิกฤตโควิด-19 อีกทั้ง ไทยยังจำเป็นต้องขาดดุลการคลังในระดับสูง จากภาระงบประมาณมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเพื่อรับมือการเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-aged society) และความเสี่ยงเศรษฐกิจในอนาคต ดังนั้น ไทยควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มพื้นที่การคลัง โดยบริหารจัดการการคลังอย่างเหมาะสม เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณกลับสู่ระดับปกติ (Fiscal Consolidation) และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ

Scan QR Code


QR Code

หมายเหตุ

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น

Econ Digest