Display mode (Doesn't show in master page preview)

19 มกราคม 2565

Econ Digest

ภาษีคริปโทฯ กฎกติกาที่นักลงทุน...ต้องรู้

คะแนนเฉลี่ย

​เมื่อช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเด็นการจัดเก็บภาษีจากการลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี (คริปโทฯ) ได้เป็นที่พูดถึงในวงกว้าง ซึ่งปัจจุบัน ในหลายๆ ประเทศก็มีการจัดเก็บภาษีคริปโทเคอร์เรนซีเช่นกัน อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สิงคโปร์ โดยนอกจากเป็นประเด็นรายได้ทางการคลังและการดูแลตรวจสอบธุรกรรมแล้ว ก็ยังมีมิติของการเพิ่มความเป็นธรรมในระบบด้วย เนื่องจากนักลงทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน โดยเฉพาะหลักทรัพย์รวมถึงคริปโทเคอร์เรนซีมักมีโปรไฟล์และลักษณะที่แตกต่างจากกลุ่มที่ฝากเงิน ทั้งการศึกษา ความรู้ การยอมรับความเสี่ยง และอาจรวมถึงสถานะทางการเงินที่อาจจะดีกว่า

สำหรับประเทศไทยแล้ว โดยหลักๆ ผู้ลงทุน ซึ่งอยู่ในฐานะผู้ขายคริปโทเคอร์เรนซี จะต้องนำรายได้ในส่วนที่เป็นกำไรจากทุกๆ ธุรกรรมมาเสียภาษีเงินได้อันมาจากผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน (มาตรา 40(4)(ฌ) ขณะที่ผู้ซื้อคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งจะอยู่ในฐานะผู้จ่ายเงินได้ จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ร้อยละ 15 ของกำไรของผู้ขายคริปโทเคอร์เรนซีนั้น นั่นเท่ากับว่าหากนักลงทุนได้กำไรจากการขายคริปโทเคอร์เรนซีในแต่ละครั้ง ก็จะต้องจ่ายภาษีสองต่อ นั่นคือ ภาษี ณ ที่จ่ายที่ร้อยละ 15 และนำกำไรที่ได้ในแต่ละครั้งมาคิดรวมเป็นเงินได้เพื่อจ่ายภาษีเงินได้พึงประเมินรายปีตามมาตราข้างต้น ส่วนในธุรกรรมที่ขาดทุนก็จะไม่ถูกเก็บภาษี และไม่สามารถนำผลขาดทุนมาหักลบกับส่วนกำไร




ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองเพิ่มเติม ดังนี้

•    แท้จริงแล้ว กฎหมายการจ่ายภาษีจากการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีในไทยมีมาตั้งแต่ปี 2561 ด้วยเจตนาที่ต้องการขยายฐานภาษีประเภทใหม่ๆ ดังเช่นการศึกษาการขยายฐานภาษีตามแนวทางอื่นๆ เช่นกัน แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว ปริมาณธุรกรรมการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีในไทยอาจยังมีไม่มากนัก แต่ในช่วงปี 2563 – 2564 ที่ผ่านมา ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในไทยคึกคักเป็นอย่างมาก ตามเทรนด์ราคาที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา มีจำนวนบัญชีผู้ลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่ที่ 1,979,847 บัญชี เติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่มีจำนวนบัญชีอยู่เพียงหลักหมื่นบัญชี1  แสดงให้เห็นว่ามีนักลงทุนรายใหม่ๆ เข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ภาษีคริปโทเคอร์เรนซีก็ยังถือว่าเป็นเรื่องใหม่ของนักลงทุน การชี้แจงหลักเกณฑ์ในการเสียภาษีอย่างชัดเจน รวมถึงการประชาสัมพันธ์ข้อปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็น เพื่อทำความเข้าใจกับนักลงทุนในการถือปฏิบัติร่วมกัน

อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน ทางกรมสรรพากรได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากหลายๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องถึงหลักเกณฑ์การจัดเก็บภาษีคริปโทเคอร์เรนซีที่อาจมีข้อจำกัดหรือเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ  อย่างเช่น ผู้ซื้อคริปโทเคอร์เรนซีอาจไม่สามารถทราบถึงส่วนกำไรที่ได้จากการขาย หากไม่ได้มีการบันทึกที่ดีพอ โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นกำไรที่ได้มาจากการขุดคริปโทเคอร์เรนซี จึงเป็นเรื่องยากที่จะทำการหักภาษี ณ ที่จ่ายจากส่วนกำไรของผู้ขาย ส่วนศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในปัจจุบันก็ยังมีข้อจำกัดในการหักภาษี ณ ที่จ่าย รวมถึงการจัดเก็บและส่งข้อมูลไปยังกรมสรรพากร ซึ่งคณะทำงานคงกำลังอยู่ในระหว่างการแก้ไขปัญหาและหาทางออกร่วมกันในทางปฏิบัติ โดยคาดว่าจะได้แนวทางที่ชัดเจนขึ้นภายในเดือนมกราคม 2565

•    หากพิจารณาหลักการจัดเก็บภาษีคริปโทเคอร์เรนซีในต่างประเทศ ก็จะพบว่าในแต่ละประเทศมีการจัดเก็บภาษีสำหรับการลงทุนคริปโทเคอร์เรนซีแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับบริบทของความจำเป็นด้านสถานะทางการคลัง ทิศทางการพัฒนาตลาดสินทรัพย์ทางการเงินใหม่ๆ ของภาครัฐ และความพร้อมของนักลงทุนในประเทศ โดยบางประเทศจะมีการยกเว้นภาษีให้แก่นักลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี เช่น สวิตเซอร์แลนด์ และโปรตุเกส ขณะที่บางประเทศจะมีการยกเว้นภาษีคริปโทเคอร์เรนซีในกรณีที่มีการลงทุนในระยะยาว อย่างเช่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ ส่วนสหรัฐอเมริกาจะมีการจัดเก็บภาษีคริปโทเคอร์เรนซีในอัตราเดียวกันกับหลักทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ อย่างหุ้น โดยหากลงทุนในระยะยาว จะเสียภาษีที่ร้อยละ 0 – 20 และหากลงทุนในระยะสั้น จะเสียภาษีที่ร้อยละ 10 – 37 และสามารถนำผลขาดทุนมาหักลบกับรายได้พึงประเมินที่ใช้คำนวณภาษีเงินได้ ในกรณีที่ไม่มีเงินได้จากการขายหลักทรัพย์  อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัจจุบัน ทางการหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงสหรัฐอเมริกา อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโทฯ ต่างๆ ดังนั้น แนวทางการจัดเก็บภาษีข้างต้น รวมถึงการควบคุมดูแลอื่นๆ จึงยังมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้อีกในอนาคต


อย่างไรก็ดี การที่คริปโทเคอร์เรนซียังคงเป็นสินทรัพย์ใหม่ที่มีความผันผวนในระดับสูง อีกทั้ง ยังมักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำผิดกฎหมาย ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซีที่มากพอ ส่งผลให้นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดต่างมุ่งหวังผลตอบแทนที่ได้จากการเก็งกำไรระยะสั้น และอาจถูกหลอกให้ลงทุนอย่างผิดกฎหมายได้ ขณะเดียวกันพฤติกรรมการเก็งกำไรระยะสั้นดังกล่าว อาจไม่สามารถสนับสนุนการต่อยอดไปสู่การสนับสนุนผู้ประกอบการให้พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีประโยชน์มากกว่าในระยะยาว ดังนั้น จึงทำให้หน่วยงานทางการในหลายๆ ประเทศ รวมถึงไทย มีความกังวลถึงความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น ทั้งต่อตัวนักลงทุนและตลาดสินทรัพย์ทางการเงินต่างๆ โดยภาพรวม ซึ่งระดับความรู้ความเข้าใจด้านคริปโทเคอร์เรนซีของนักลงทุน ก็น่าจะยังคงเป็นประเด็นหลักที่จะสร้างความกังวลต่อทางการอย่างมีนัยสำคัญ และน่าจะถูกใช้เป็นหนึ่งในแนวทางในการคิดหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลการลงทุนในระยะข้างหน้า

สำหรับในประเทศไทย จากการสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า นักลงทุนไทยที่ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 50 ประเมินตัวเองว่ามีความรู้ทางด้านคริปโทเคอร์เรนซีในระดับปานกลางเท่านั้น ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ราวร้อยละ 18.2 ให้เหตุผลหลักในการลงทุนคริปโทเคอร์เรนซีถึงความเชื่อมั่นว่าราคาจะขึ้นไปเรื่อยๆ และคาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนสูง อีกทั้ง นักลงทุนไทยส่วนใหญ่ราวร้อยละ 43 ตั้งใจจะเพิ่มการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีเป็นอันดับหนึ่งในปี 2565 สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนไทยส่วนใหญ่ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี ถึงแม้ว่าจะมีความรู้เกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซีในระดับที่ไม่สูงมากนัก ดังนั้น ทิศทางของเกณฑ์การกำกับดูแลตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในระยะข้างหน้า รวมไปถึงเกณฑ์การจัดเก็บภาษี อาจต้องพิจารณาถึงประเด็นระดับความรู้ของนักลงทุนควบคู่กันไปด้วย แต่ทั้งนี้ คำถามที่สำคัญกว่าคงเป็น...กฎกติกาในภาพรวมควรเป็นอย่างไร เพื่อเล็งผลเลิศที่ดีขึ้นกับการพัฒนาตลาดสินทรัพย์หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ในระยะข้างหน้า ให้มีความเหมาะสมกับความพร้อมของนักลงทุนและเงื่อนไขเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป



-------------------------------------------------------------------------------

 1/ ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

Scan QR Code


QR Code

หมายเหตุ

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น

Econ Digest