เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการจัดเก็บภาษีขายหุ้น (Financial Transaction Tax) ที่ร้อยละ 0.11 (เมื่อรวมภาษีท้องถิ่นที่ร้อยละ 0.01) ของมูลค่าการขาย โดยน่าจะเริ่มจัดเก็บได้ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลบังคับใช้ ซึ่งอยู่ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ที่ร้อยละ 0.055 (เมื่อรวมภาษีท้องถิ่นที่ร้อยละ 0.005) ของมูลค่าการขาย และจะเก็บที่อัตราปกติตั้งแต่ปี 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ทั้งนี้ อัตราภาษีขายหุ้นดังกล่าวเป็นภาษีเฉพาะภายใต้ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2534 และได้รับการยกเว้นตั้งแต่ปี 2535
อย่างไรก็ดี จะมีบางกลุ่มที่ได้รับการยกเว้นภาษีขายหุ้นดังกล่าว ซึ่งครอบคลุมกองทุนเพื่อการออมและเกษียณอายุ รวมถึง Market Maker อันได้แก่ กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ต่างๆ (ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ อาทิ RMFกองทุนการออมแห่งชาติ กองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมแก่สำนักงานประกันสังคม ตลอดจน ผู้ดูแลสภาพคล่องที่ได้ขึ้นทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เฉพาะกิจการขายหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่บุคคลนั้นได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องของหลักทรัพย์นั้น
หากพิจารณาการจัดเก็บภาษีจากการทำธุรกรรม (ซื้อ – ขาย) ในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทย จะพบว่า ปัจจุบัน มีการจัดเก็บภาษีหลักๆ อยู่ 2 รูปแบบ คือ 1) ภาษีจากเงินปันผล (Dividend Tax) หัก ณ ที่จ่ายร้อยละ 10 (ยกเว้นการลงทุนในบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI) และ 2) ภาษีกำไรจากการขายหลักทรัพย์ (Capital Gain Tax) โดยหากเป็นนักลงทุนนิติบุคคลจะต้องนำไปรวมเป็นเงินได้เพื่อใช้ในการหักภาษีเงินได้นิติบุคคล ขณะที่นักลงทุนรายย่อยจะได้รับการยกเว้น
สำหรับการจัดเก็บภาษีการทำธุรกรรมในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ พบข้อสังเกตคือ ในตลาดที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ เยอรมนี ญี่ปุ่น จะมีการจัดเก็บภาษีทั้งจากเงินปันผลและกำไรจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ในอัตราที่ค่อนข้างสูง ส่วนเกาหลีใต้เอง แม้ว่าปัจจุบันจะมีการยกเว้นภาษีกำไรจากการขายหลักทรัพย์ แต่ทางการก็มีแผนที่จะจัดเก็บส่วนนี้ในปี 2568 ที่ร้อยละ 20 – ร้อยละ 25 ซึ่งก็เป็นอัตราที่ค่อนข้างสูงเช่นกัน ขณะเดียวกัน ตลาดที่กำลังพัฒนา จะมีการเก็บภาษีจากเงินปันผลและกำไรจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ในอัตราที่ต่ำกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดที่พัฒนาแล้ว และส่วนใหญ่ก็มีการยกเว้นการจัดเก็บภาษีกำไรจากการขายหลักทรัพย์ด้วย (ซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกับไทย) ไม่ว่าจะเป็นจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม เป็นต้น และในบางประเทศอย่างเช่น มาเลเซีย ก็มีการยกเว้นภาษีจากเงินปันผลอีกด้วย โดยมีเฉพาะการจัดเก็บภาษีจากอากรแสตมป์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ส่วนประเด็นภาษีขายหุ้นนั้น ก็จะสังเกตว่า ตลาดที่พัฒนาแล้วบางแห่งก็ยังมีการยกเว้นภาษีประเภทนี้ อาทิ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ขณะเดียวกัน ในตลาดที่กำลังพัฒนาบางแห่งก็อาจมีการจัดเก็บภาษีประเภทนี้ด้วย อาทิ อินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็นต้น ซึ่งความแตกต่างกันของวิธีและอัตราการเก็บภาษีข้างต้น ขึ้นอยู่กับนโยบายของทางการที่ต้องการสร้างความเป็นธรรม และควบคุมหรือป้องกันการทำธุรกรรมที่ผิดปกติ รวมถึงโครงสร้างเศรษฐกิจ การเงิน ตลาดทุน และนักลงทุน ตลอดจนนโยบายด้านการคลังในแต่ละประเทศด้วย
หมายเหตุ: 1) ยกเว้นภาษีในกรณีที่ได้รับเงินปันผลจากบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน BOI
2) กรณีโอนใบหุ้น โดยโดยคิดตามราคาหุ้นที่ชำระแล้ว (แล้วแต่ว่าจำนวนใดจะมากกว่ากัน) เว้นแต่เป็นการโอนหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่ง TSD เป็นนายทะเบียน
3) ในกรณีที่ซื้อหุ้นในบริษัทขนาดใหญ่ที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านยูโร
4) National tax ร้อยละ 15.315 และ Local inhabitant’s tax ร้อยละ 5
5) รัฐบาลเกาหลีใต้มีแผนที่จะจัดเก็บ capital gain tax สำหรับการลงทุนหุ้นในปี 2568 คือ 1) จัดเก็บที่ร้อยละ 20 ในกรณีที่ได้กำไรมากกว่า 50 ล้านวอน และ 2) จัดเก็บที่ร้อยละ 25 ในกรณีที่ได้กำไรมากกว่า 300 ล้านวอน
6) ยกเว้นเป็นธุรกรรมที่เป็นการยืมหุ้นเพื่อการ short sales
|
Click ชมคลิป
ภาษีหุ้น ประเทศไหน...เก็บแบบใดกันบ้าง?
|
Scan QR Code
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น