Display mode (Doesn't show in master page preview)

3 กันยายน 2568

Econ Digest

ปี 2569 ธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนไทย โตต่อตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น

คะแนนเฉลี่ย

  • ในปี 2569 ความต้องการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน โดยปริมาณไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ขายให้ภาครัฐคาดว่าจะอยู่ที่ 24,303 GWh และภาคเอกชนคาดว่าจะอยู่ที่ 4,249 GWh เพิ่มขึ้น 2.8% และ 8% ตามลำดับ
  • ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ผู้ประกอบการจำหน่ายมากที่สุดในปี 2569 ได้แก่ไฟฟ้าชีวมวลและแสงอาทิตย์ตามลำดับ มีสัดส่วนรวมกันเป็น 79% ของไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ภาครัฐ และ 96% ของไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ภาคเอกชน
  • ในปี 2569 โรงไฟฟ้าชีวมวล คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นทั้งจากการขายให้ภาครัฐและเอกชน ในขณะเดียวกัน สำหรับธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ความต้องการก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกันทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน สะท้อนถึงภาพรวมธุรกิจที่มีทิศทางเติบโตต่อเนื่อง
ปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมีแนวโน้มเติบโตในปี 2569
ความต้องการไฟฟ้าหมุนเวียนจากภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวราว 2.8% ขณะที่ภาคเอกชนขยายตัวราว 8% (รูปที่ 2 และ 3)
 
        ในปี 2569 ปริมาณไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ขายให้ภาครัฐ คาดว่าจะอยู่ที่ 24,303 GWh        (รูปที่ 2) เพิ่มขึ้นจากการส่งเสริมทางด้านนโยบายภาครัฐ โดยจะมีโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเพิ่มเติมรวมเป็นจำนวน 354.3 MW จากปริมาณขายตามสัญญา ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 7 แห่ง และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ 1 แห่ง
        สำหรับภาคเอกชน ปริมาณการขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนคาดว่าจะอยู่ที่ 4,249 GWh (รูปที่ 3) มาตรการเก็บภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนจากยุโรป หรือ CBAM  ซึ่งจะเริ่มมีการบังคับใช้จริงในปี 2569 เป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมต้องปรับตัวมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น นอกจากนี้ การลงทุนที่เพิ่มมากขึ้นจากองค์กรเอกชนในโครงการ RE100  ซึ่งรวมถึงธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ก็มีส่วนผลักดันให้การใช้พลังงานสะอาดเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ชีวมวลยังคงเป็นเชื้อเพลิงหลัก ขณะที่พลังงานแสงอาทิตย์เติบโตอย่างรวดเร็ว
        ในปี 2569 ไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลและพลังงานแสงอาทิตย์คาดว่าจะคิดรวมกันเป็น 79% ของไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ภาครัฐ (รูปที่ 4) และ 96% ของการจำหน่ายให้ภาคเอกชน (รูปที่ 5) 
 
นอกเหนือจากนี้จะเป็นไฟฟ้าจาก พลังงานลม ขยะ และก๊าซชีวภาพ โดยรวมกันคิดเป็น 21% และ 4% ของไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ภาครัฐ และ เอกชนตามลำดับ
ชีวมวลยังคงถูกใช้ในการผลิตไฟฟ้ามากที่สุด เนื่องจากมีความเสถียรและยืดหยุ่นด้านการผลิตมากกว่าเชื้อเพลิงหมุนเวียนประเภทอื่นๆ รวมถึงยังมีความพร้อมทางด้านวัตถุดิบ เพราะประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตร อย่างไรก็ตาม ในระยะข้างหน้า ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะมีการใช้งานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นแหล่งเชื้อเพลิงหลักในที่สุด ตามเป้าหมายในร่าง AEDP  พ.ศ. 2567-2580 ที่ตั้งเป้าให้ 68%  ของไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในปี 2580 มาจากพลังงานแสงอาทิตย์ 
ภาพรวมรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนยังคงเติบโต
ภาพรวมรายได้จากการขายไฟฟ้าได้รับอิทธิพลหลักมาจากไฟฟ้าชีวมวลและแสงอาทิตย์ เนื่องจากเป็นสัดส่วนหลักของไฟฟ้าที่จำหน่ายในตลาดพลังงานหมุนเวียน ทั้งภาครัฐและเอกชน
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน การเปลี่ยนผ่านจากสัญญาซื้อขายแบบ Adder ไปสู่ FiT สำหรับตลาดภาครัฐ อาจส่งผลกดดันต่อผลประกอบการโรงไฟฟ้าหมุนเวียน แม้ว่าอุปสงค์ไฟฟ้าจะมีทิศทางเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากในระบบ FiT อัตราการรับซื้อไฟจะสะท้อนต้นทุนพลังงานหมุนเวียนแต่ละประเภท ขณะที่ในระบบ Adder จะเป็นมาตรการสนับสนุนในระยะเริ่มต้นของไทย เพื่อให้เกิดการลงทุนไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยมีลักษณะเป็นเงินอุดหนุนส่วนเพิ่ม ซึ่งโดยมากจะให้ราคาซื้อที่สูงกว่า 
ทว่าผลประกอบการรวมของธุรกิจไฟฟ้าหมุนเวียนในระยะข้างหน้าคาดว่าจะเติบโต ตามโครงการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนภาครัฐที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ผู้ประกอบการไฟฟ้าชีวมวล
รายได้และอัตรากำไรขั้นต้นของผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าชีวมวลมีแนวโน้มเติบโต
         รายได้รวมจากการขายไฟฟ้าชีวมวลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามความต้องการจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เติบโตต่อเนื่อง (รูปที่ 6) นอกจากนั้น อัตรากำไรขั้นต้นในปี 2569 คาดว่าจะขยายตัวช้าลง เพราะต้นทุนเชื้อเพลิงชีวมวลมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จากปริมาณเชื้อเพลิงชีวมวลที่มีทิศทางลดลงตาม GDP พืชเกษตรที่คาดว่าจะโตเพียง 1.2% ชะลอลงจาก 2.9% ในปีก่อนหน้า (รูปที่ 7)

ผู้ประกอบการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
        ธุรกิจไฟฟ้าแสงอาทิตย์สามารถแยกออกได้เป็นโครงการที่ทำสัญญาซื้อขายกับภาครัฐ และโครงการที่ทำสัญญาซื้อขายกับภาคเอกชน
โครงการที่ทำสัญญาซื้อขายกับภาครัฐ 
        รายได้รวมจากขายไฟฟ้าพลังงานเเสงอาทิตย์ให้ภาครัฐในปี 2569 มีเเนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ตามปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากภาครัฐที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 7% (รูปที่ 8) โดยรายได้จากของแต่ละโครงการค่อนข้างจะมั่นคง เนื่องจากเป็นการขายไฟฟ้าเต็มปริมาณที่ผลิตได้ ภายในระยะเวลาสัญญาของแต่ละโครงการ
        สำหรับปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับรายได้ต่อการขายไฟต่อหน่วย ได้แก่ ราคารับซื้อตามสัญญาของภาครัฐ ซึ่งมีการปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ที่ 2.1679  บาท/หน่วย ส่งผลให้รายได้ต่อหน่วยจากการขายไฟลดลง อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ราวกว่า 30% (รูปที่ 9) สำหรับโครงการที่จะเริ่มดำเนินการซื้อขายในปี 2569
โครงการที่ทำสัญญาซื้อขายกับภาคเอกชน 
        รายได้รวมจากการขายไฟฟ้าให้ภาคเอกชนมีแนวโน้มเติบโต ตามความต้องการซื้อที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากถึง 21% ในปี 2569 (รูปที่ 10) เนื่องจากผู้ประกอบการและภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง หันมาเลือกใช้บริการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบ Private PPA  มากขึ้น ในขณะเดียวกัน ต้นทุนของผู้ให้บริการก็มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง สะท้อจากต้นทุนรวมในการติดตั้ง และ LCOE เฉลี่ยทั่วโลก ซึ่งคาดว่าจะลดลง 8% และ 11% ตามลำดับ จากปีก่อนหน้า (รูปที่ 11)
 
ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าประเภทอื่นๆ
        สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ลม และก๊าซชีวภาพ รายได้จะมาจากการขายให้ภาครัฐเป็นหลัก ดังนั้นแนวโน้มรายได้จึงขึ้นอยู่กับนโยบายพลังงานและการสนับสนุนจากภาครัฐ 
        ในปี 2569 รายได้รวมของผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าขยะมีแนวโน้มเติบโต ขณะที่ โรงไฟฟ้าพลังงานลมและก๊าซชีวภาพยังไม่มีกำหนดรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติมจากภาครัฐ โดยโรงไฟฟ้าขยะมีแผนที่จะเริ่มจ่ายไฟเข้าระบบรวม 19 MW  และมีราคารับซื้อสูงกว่าไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยรัฐบาลจะรับซื้อที่ 5.08 บาท/หน่วยพร้อม FiT Premium  0.70 บาท/หน่วย ใน 8 ปีแรก สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก  ที่มีกำลังการผลิตไม่เกิน 10 MW และ 3.66 บาท/หน่วย สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่มีกำลังการผลิต 10-50 MW 

ความเสี่ยงของธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในระยะกลางถึงยาว
  • การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนยังเผชิญข้อจำกัดด้านทรัพยากรที่กระทบต่อความเสถียรในการผลิต เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ที่ไม่ต่อเนื่องและผันผวนตามเวลาและสภาพอากาศ รวมถึงเชื้อเพลิงขยะและชีวมวลที่มีปัญหาความชื้นและคุณภาพไม่สม่ำเสมอ ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพการผลิตลดลงและเกิดความไม่แน่นอนต่อระบบไฟฟ้าโดยรวม
  • ปัจจุบันผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนยังไม่สามารถขายไฟฟ้าตรงให้ผู้ใช้งานผ่านโครงข่ายภาครัฐ โดยรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นเจ้าของโครงข่ายไฟฟ้า ยังไม่อนุญาตให้เอกชนเช่าใช้ เนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า ทำให้ปัจจุบันยังไม่มีการเปิดให้มี Third Party Access (TPA) หรือการอนุญาตให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนหรือผู้ให้บริการพลังงานรายอื่นเข้าถึงและใช้โครงข่ายสายส่งไฟฟ้าของรัฐอย่างเสรี
  • การแข่งขันกับโครงการไฟฟ้าสีเขียวจากภาครัฐ (UGT)  ในตลาดการขายไฟฟ้าให้ภาคเอกชน แม้ว่าการเปิดให้บริการ UGT ในช่วงแรก  จะเป็นการขายไฟฟ้าพลังงานน้ำที่มีอยู่เดิมในระบบของการไฟฟ้าฯ เป็นหลัก ทำให้ไม่ส่งผลกระทบมากนัก แต่ในระยะถัดไป จะเริ่มมีการเปิดขายไฟฟ้าชนิดอื่นเพิ่มเติม ทำให้ผลกระทบมีเพิ่มมากขึ้น โดยบริการจากภาครัฐจะมีข้อได้เปรียบในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ครอบคลุม และความสามารถในการจ่ายไฟฟ้าในปริมาณมากได้อย่างมั่นคง ทำให้ผู้ใช้ไฟภาคเอกชน โดยเฉพาะรายใหญ่ อาจเปลี่ยนมาเลือกใช้บริการ UGT แทนการทำสัญญาซื้อขายแบบ Private PPA ในระยะยาว
  • การเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน หรือ Waste to Energy (WtE) ในปัจจุบันยังไม่ได้รับการบรรจุใน EU Taxonomy (EU, 2024) ในฐานะพลังงานสีเขียว  ซึ่งหมายความว่า WtE จะไม่เข้าข่ายมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป ส่งผลให้ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งสินค้าไปยังยุโรปอาจไม่เลือกใช้ไฟฟ้าจากขยะในฐานะพลังงานสีเขียว เนื่องจากไม่เป็นไปตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่ EU กำหนด

Scan QR Code


QR Code

หมายเหตุ

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น

Econ Digest