- ในช่วงครึ่งหลังของปี การส่งออกและดุลการค้าของอินโดนีเซียยังคงเผชิญแรงกดดันด้านราคาต่อเนื่อง (รูปที่ 3) แม้ไตรมาส 2 การส่งออกในภาพรวมจะได้อานิสงส์จากการเร่งส่งมอบสินค้าก่อนที่มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ แต่ราคานิกเกิลซึ่งคาดว่าจะทรงตัวในระดับต่ำตลอดทั้งปี ยังคงฉุดรายได้จากการส่งออก ซ้ำเติมด้วยภาระการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นตามความตกลงลดภาษี Reciprocal ซึ่งยิ่งกระทบดุลการค้าให้ถดถอยมากขึ้น ทั้งนี้ การผลิตและส่งออกนิกเกิลครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงสินค้าขั้นปลายน้ำ มีมูลค่ารวมราว 12.4% ของการส่งออกสินค้าทั้งหมดในปี 2024 หรือคิดเป็น 2.35% ของ GDP
- รายได้ภาครัฐจากการเก็บภาษีเหมืองแร่มีแนวโน้มลดลง สร้างความท้าทายต่อแผนลงทุนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไป แม้ว่ารัฐบาลได้ปรับโครงสร้าง Royalty จากอัตราคงที่ 10% เป็นแบบขั้นบันได 14–19% ตั้งแต่เดือน เม.ย. เพื่อเพิ่มรายได้และสนับสนุนอุตสาหกรรมต่อเนื่องของนิกเกิลที่มูลค่าเพิ่มสูง แต่รายได้จากภาษี Royalty ลดลงตามทิศทางราคานิกเกิล จากสัดส่วนรายได้นี้เคยพุ่งขึ้นเป็น 4.64% ของรายได้รวมในปี 2023 ตามราคานิกเกิลที่อยู่ในระดับสูง แต่ในปี 2024 ได้ปรับลดลงเหลือ 3.59% ตามการลดลงของราคานิกเกิล ทั้งนี้ ในภาวะราคานิกเกิลตกต่ำได้เพิ่มแรงกดดันต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายเล็กที่มีข้อจำกัดในการแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น
- การลงทุนในอุตสาหกรรมต่อเนื่องของการทำเหมืองแร่นิกเกิล (Downstreaming policy) เสี่ยงชะลอตัว จากราคานิกเกิลที่มีทิศทางลดลงต่อเนื่องอาจบั่นทอนแรงจูงใจเม็ดเงินลงทุนใหม่ ยิ่งทำให้รายได้ภาครัฐจากโครงการเหล่านี้ลดลงในระยะต่อไป ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/2025 การลงทุนในโครงการ Downstream เพิ่มขึ้นถึง 79.82%YoY เป็น 136.3 ล้านล้านรูเปียห์ (คิดเป็น 29.3% ของการลงทุนรวม) ได้แก่ นิกเกิล (47.82 ล้านล้านรูเปียห์) ทองแดง (17.7 ล้านล้านรูเปียห์) บอกไซต์ (12.84 ล้านล้านรูเปียห์) เหล็กและเหล็กกล้า (12.01 ล้านล้านรูเปียห์) และดีบุก (1.53 ล้านล้านรูเปียห์)
- การจ้างงานในภาคถลุงแร่ปรับตัวลดลง โดยการจ้างงานในภาคการถลุงแร่ลดลงจาก 1.73 ล้านคน ณ ส.ค. 2024 เหลือ 1.64 ล้านคน ณ ก.พ. 2025 (จากกำลังแรงงานรวม 145.7 ล้านคน) โดยพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือจังหวัดในเกาะสุลาเวสีและโมลุกุ ซึ่งพึ่งพาโรงงานถลุงแร่และนิคมอุตสาหกรรมเป็นรายได้หลักของครัวเรือน การหยุดผลิตส่งผลต่อธุรกิจบริการและห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มความเสี่ยงด้านการว่างงานและกดดันเศรษฐกิจภูมิภาค