จาก PM 2.5 ซึ่งถูกซ้ำเติมจากไฟป่า ... สู่ปัญหาโลกร้อน โจทย์ที่รัฐบาลใหม่ยากจะละเลย
สถานการณ์ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 สูงเกินมาตรฐานในระดับอันตราย ได้สร้างความเดือดร้อนต่อการใช้ชีวิต การดำเนินธุรกิจ และสุขภาพของประชาชนในหลายพื้นที่ ซึ่งมักเกิดในช่วงเดือนธันวาคมถึงเมษายน โดย
ข้อมูลจุดความร้อน ณ วันที่ 30 มีนาคม 2566 มีจำนวน 2,963 จุด เพิ่มขึ้นจาก ณ
สิ้นเดือนมกราคม 2566 จำนวน 1,683 จุด ส่วนใหญ่เป็นจุดความร้อนในพื้นที่ป่าไม้ ในขณะที่ในช่วง 1 ตุลาคม 2565 – 12 มีนาคม 2566 มีพื้นที่ป่าถูกไฟไหม้สะสมจำนวน 55,731.64 ไร่
มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีพื้นที่ถูกไฟไหม้จำนวน 38,246 ไร่1 สะท้อนปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ต้องเร่งแก้ไขอย่างจริงจัง
ผลกระทบต่อระบบนิเวศ PM2.5 และซ้ำภาวะโลกร้อน ผลกระทบจากการเผาไหม้ นอกจากจะส่งผลเสียหายโดยตรงและถาวรต่อระบบนิเวศของคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ดังกล่าวและบริเวณจังหวัดใกล้เคียงซึ่งประเมินค่าไม่ได้แล้ว ก็ยังส่งผลให้คุณภาพอากาศในประเทศไทย มีค่า PM2.5 เกินมาตรฐานความปลอดภัยอยู่ในระดับที่องค์การอนามัยโลกพิจารณาว่ามีผลกระทบต่อทุกคนอย่างรุนแรง จนถึงระดับอันตราย2 อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะช่วงเดือนธันวาคมถึงเมษายนเนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่แห้งแล้ง และอากาศมีการถ่ายเทน้อย ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวจะมีฝุ่นและมลพิษทางอากาศที่สูงกว่าช่วงอื่น นอกจากนี้ ยังเป็นช่วงฤดูการเผาภายหลังการเก็บเกี่ยวผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเพื่อเตรียมสำหรับการเพาะปลูกครั้งต่อไป เนื่องจากเป็นวิธีที่ประหยัดต้นทุนแรงงาน เครื่องจักร รวมทั้งใช้เวลาไม่นานในการเก็บเกี่ยวพืชผล โดยเฉพาะสำหรับการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ในพื้นที่ค่อนข้างใหญ่อย่างเช่นผลผลิตอ้อย ข้าว และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทั้งจากภายในประเทศ และในเขตประเทศเพื่อนบ้าน ที่อาจทำให้เกิดการเผาไหม้ลุกลามไปยังพื้นที่ป่าไม้ธรรมชาติ ทั้งนี้ เมื่อมองผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน เฉพาะการเผาฟางข้าวในที่โล่งแจ้งมีการปล่อย CO2 ประมาณ 24.6 ล้านตันต่อปี
3 จะเทียบเคียงได้กับการปล่อย CO2 จากกิจกรรมประจำวันของคนไทยได้ถึง 6.3 ล้านคน
4
แม้จะมีกฎหมายและมาตรการป้องกัน แต่ปัญหาใหญ่อยู่ที่ภาคปฏิบัติและการร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อันที่จริงแล้ว ในส่วนของมาตรการแก้ไขและป้องกันนั้น รัฐบาลได้เพิ่มโทษจากการเผาป่าให้รุนแรงขึ้น โดยมีโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี หรือปรับตั้งแต่ 400,000 บาท ถึง 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 รวมถึงมีโทษ จําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ (ถ้าได้กระทําเกินเนื้อที่เกินกว่า 25 ไร่ จําคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 บาทถึง 100,000 บาท) ตามกฎหมายอาญา นอกจากนี้ ภาครัฐยังมีมาตรการทางการคลังสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรลดการเผาอ้อย โดยให้เงินช่วยเหลือเพื่อตัดอ้อยสดแก่เกษตรกรในปีงบประมาณ 2564 และ 2565 เป็นจำนวน 5,933 ล้านบาท และ 8,320 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับเรื่องฝุ่น รัฐบาลได้กำหนดให้การแก้ไขปัญหามลภาวะด้านฝุ่นละอองเป็นวาระแห่งชาติตั้งแต่ปี 2562 และมีการจัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองในปีเดียวกันซึ่งได้วางแนวทางการแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยติดตามเฝ้าระวังและบังคับใช้กฎหมายเพื่อหยุดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองทั้งในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการขนส่ง รวมถึงแนวทางการปรับปรุงมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงกำมะถันต่ำและการนำมาตรฐาน EURO 5 และ 6 มาใช้สำหรับรถยนต์ใหม่
อย่างไรก็ดี การแก้ไขปัญหาทั้งไฟป่าและฝุ่นละอองในทางปฏิบัติ ก็ยังมีความท้าทายมาก เพราะเป็นปัญหาที่ซับซ้อน ยกตัวอย่างเช่น 1) การดูแลและจับกุมผู้ที่ทำผิดกฎหมายการเผาพืชภายหลังการเก็บเกี่ยว หรือแม้กระทั่งป่า ต้องอาศัยงบประมาณ ทรัพยากรเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมาก รวมถึงความร่วมมือจากท้องถิ่น 2) ทางเลือกในการเผาวัสดุเหลือใช้สำหรับภาคเกษตร ยังตอบโจทย์เรื่องต้นทุนที่ถูกกว่าการใช้เครื่องจักร อีกทั้งยังสะดวกต่อการเตรียมแปลงเพื่อเพาะปลูกกว่าการฝังกลบที่ต้องใช้ระยะเวลานานในการย่อยสลายและวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมีมูลค่าน้อย 3) การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนขึ้นสำหรับเกษตรกรด้วยการสร้างแรงจูงใจให้มาปลูกพืชในลักษณะผสมผสานมากขึ้น รวมถึงการสร้างอาชีพทางเลือก เพื่อลดปัญหาการบุกรุกป่า หรือการปลูกพืชเชิงเดี่ยวตามการสนับสนุนของนายทุน ต้องอาศัยทั้งความเข้าใจ การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน และเวลา 4) การลดปัญหาการเผาป่าหรือเผาพืช จากประเทศเพื่อนบ้าน ก็ต้องอาศัยความต่อเนื่องของการเจรจาและความร่วมมือระหว่างกันที่เข้มแข็ง 5) ปัญหาฝุ่นละอองในเขตเมืองมาจากภาคอุตสาหกรรมและรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งการเปลี่ยนเครื่องจักรเก่าที่ใช้ในการผลิต และการเปลี่ยนรถยนต์จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก อีกทั้งคณะรัฐมนตรีมีมติเลื่อนการบังคับใช้มาตรฐานควบคุมมลพิษของรถยนต์รุ่นใหม่เป็นมาตรฐาน EURO 5 ไปเป็นปี 2567 6) หน่วยงานของรัฐในระดับภูมิภาคยังเผชิญกับปัญหาในด้านงบประมาณ เนื่องจากมีงบประมาณไม่เพียงพอเพื่อมาใช้ในการแก้ปัญหาฝุ่นละอองได้ ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนบุคลากรและอุปกรณ์ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง
ประสบการณ์ในต่างประเทศ...เลือกใช้มาตรการเข้มงวด จริงจัง ในต่างประเทศมีแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองที่ประสบความสำเร็จ โดยประเทศจีนมีความพยายามแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองมาตั้งแต่ปี 2556 โดยการใช้มาตรการที่เข้มงวดและต่อเนื่อง ทั้งการกำจัดปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงงานเหล็กกล้า กระจก ซีเมนต์ ที่มีเครื่องจักรไม่เป็นไปตามมาตรฐาน สั่งหยุดการผลิตสินค้าในโรงงานที่ปล่อยมลพิษจนกว่าจะมีการแก้ไข เปลี่ยนเครื่องจักรที่ใช้เชื้อเพลิงถ่านหินเป็นก๊าซธรรมชาติ ส่งเสริมการลงทุนพลังงานสะอาด และยกระดับมาตรฐานการปล่อยมลพิษจากรถยนต์ รวมถึงมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดการมลพิษระหว่างปี 2556 – 2560 เป็นจำนวน 2.77 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ
5 ขณะที่
ประเทศสิงคโปร์เผชิญกับปัญหาฝุ่นละอองจากการเผาป่าในประเทศอินโดนีเซีย ทางการสิงคโปร์จึงได้บังคับใช้กฎหมายหมอกควันข้ามพรมแดน หรือ Transboundary Haze Pollution Act ตั้งแต่ปี 2557 เพื่อการดำเนินคดีกับธุรกิจสวนปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซียของบริษัทที่มีที่ตั้งในสิงคโปร์และพิสูจน์ได้ว่ารับซื้อปาล์มน้ำมันหรือมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมกับการเผาป่า เป็นต้น
สุดท้ายแล้ว...เราต่างรู้กันว่า...ปัญหาฝุ่นละอองเป็นมลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน ความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศป่าไม้ และส่งผลกระทบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจ อีกทั้งยังส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายในการลดปัญหาสภาพภูมิอากาศ ซึ่งประเทศไทยเองก็ให้คำมั่นสัญญาไว้ว่าจะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนให้ได้ภายในปี 2050 และมีการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 ดังนั้น สถานการณ์ไฟป่าที่เพิ่งเกิดขึ้น ซึ่งซ้ำเติมปัญหาฝุ่นละอองที่มีแต่จะรุนแรงขึ้นนี้ จึงย้ำปัญหาคุณภาพชีวิตของประชากรไทย ทำให้การหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ และจะต้องเป็นแนวทางที่ยั่งยืนในทางปฏิบัติ...ย่อมจะเป็นโจทย์ท้าทายรัฐบาลที่จะมาจากการเลือกตั้งที่กำลังใกล้เข้ามานี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
1 สำนักป้องกัน ปราบปราม และควบคุมไฟป่า
2 ค่า PM2.5 มากกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จากค่าแนะนำไม่เกิน 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
3 จากปริมาณเศษฟางข้าวเหลือทิ้งจำนวน 22 ล้านตันต่อปี ไม่รวมการปล่อยก๊าซประเภทอื่น เช่น CO, NOx, SO2 ที่มา: การประเมินการปลดปล่อยมลพิษจากการเผาไหม้ฟางข้าวในที่โล่งแจ้ง, วารสารวิศวกรรมฟาร์มและเทคโนโลยีการควบคุมอัตโนมัติ
4 ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ยต่อหัวคนไทยปี 2561เท่ากับ 3.9 ตันต่อคน
5 https://thediplomat.com/2013/07/chinese-government-will-spend-277-billion-to-combat-air-pollution/
Scan QR Code
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น