Display mode (Doesn't show in master page preview)

16 พฤษภาคม 2567

Econ Digest

สหรัฐอเมริกาเตรียมเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากจีนเพิ่ม 4 เท่า

คะแนนเฉลี่ย

สหรัฐอเมริกาเตรียมเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากจีนในอัตรา 102.5% จากปัจจุบันที่เก็บอยู่ในอัตรา 27.5%

         โดยเป็นความพยายามของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ในการปกป้องอุตสาหกรรมรถยนต์ภายในประเทศสหรัฐจากการแข่งขันกับรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกจากจีน ผ่านการทบทวนภาษีศุลกากรมาตรา 301 โดยมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมต่าง ๆ นอกเหนือจากอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ปรับเพิ่มเป็น 102.5% ด้วย เช่น แบตเตอรี่ โซลาร์เซลล์ เหล็ก อลูมิเนียม เป็น 25% จากปัจจุบันที่อยู่ระหว่าง 0 - 7.5%
         ขณะที่สหภาพยุโรป (EU) กำลังสอบสวนการอุดหนุนราคารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่ส่งเข้าไปทุ่มตลาดยุโรป และจะประกาศอัตราภาษีใหม่เช่นกัน ซึ่งคาดว่าจะอยู่ราว ๆ 30%
         ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าประเด็นการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศจากการทุ่มตลาดของจีน ของสหรัฐฯ และอียู อาจส่งผลต่อแนวโน้มการลงทุนด้านพลังงานสะอาดในประเทศต่างๆ รวมถึงของสหรัฐฯ และอียูเอง เนื่องจากต้องใช้เงินงบประมาณในการให้สิทธิประโยชน์กับผู้ประกอบการภายในประเทศ รวมถึงอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าที่มีฐานการผลิตอยู่ในประเทศจีน เช่น BMW Tesla ที่จะโดนการผลกระทบของการเพิ่มภาษี
          อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญทั้งจากสหรัฐฯ และจีน ยังคงมองว่า การปรับเพิ่มอัตราภาษีอาจจะไม่ได้เพิ่มความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมากนัก และส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อเพียง 0.1% อีกทั้ง ยังไม่สามารถประเมินผลกระทบของราคาสินค้าในระยะยาวหลังจากบริษัทผู้ผลิตมีการปรับตัวภายหลังจากมาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้


 


Click
 ชมคลิป สหรัฐอเมริกาเตรียมเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากจีนเพิ่ม 4 เท่า

Scan QR Code


QR Code

หมายเหตุ

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น

Econ Digest