-
ปี 2569 ปริมาณการผลิตเนื้อไก่ของไทยคาดอยู่ที่ 3.47 ล้านตัน ขยายตัว 0.9% ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปี 2568 ที่คาดว่าจะโตราว 1.3% ซึ่งสอดคล้องไปกับปริมาณการบริโภคที่คาดว่าจะอยู่ในระดับทรงตัว จากความต้องการในประเทศและตลาดส่งออกที่โตช้าลงตามภาวะเศรษฐกิจ
-
มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยปี 2569 คาดจะอยู่ที่ 4,665 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โต 3.0% เมื่อเทียบกับปี 2568 ที่คาดว่าจะโตราว 5.0% ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจคู่ค้าหลักอย่างญี่ปุ่น สหราชอาณาจักรและจีน รวมถึงยังต้องแข่งขันด้านราคาเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด
แนวโน้มธุรกิจผลิตภัณฑ์ไก่ในประเทศ
ปริมาณการผลิตเนื้อไก่คาดขยายตัว 0.9% ในปี 2569 ขณะที่ราคาขายหน้าฟาร์มอาจทรงตัว
ปี 2569 คาดว่า ปริมาณการผลิตเนื้อไก่ของไทยจะอยู่ที่ 3.47 ล้านตัน ขยายตัว 0.9% ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปี 2568 ที่คาดว่าจะโตราว 1.3% (รูปที่ 2) ซึ่งสอดคล้องไปกับปริมาณการบริโภคที่คาดว่าจะอยู่ในระดับทรงตัว จากความต้องการในประเทศและตลาดส่งออกที่โตช้าลงตามภาวะเศรษฐกิจ
ขณะที่ราคาไก่ที่เกษตรกรขายได้หน้าฟาร์มคาดจะยังทรงตัวเทียบกับปี 2568 (รูปที่ 3) แม้วัตถุดิบอาหารสัตว์จะมีทิศทางลดลง แต่ต้นทุนส่วนอื่นๆ มีแนวโน้มขยับขึ้น อาทิ ต้นทุนการจัดการฟาร์มและค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ท่ามกลางราคาขายปลีกขยับขึ้นได้จำกัด เนื่องจากเป็นสินค้าควบคุม ส่งผลให้การบริหารจัดการต้นทุนเพื่อรักษารายได้และอัตรากำไรยังเป็นโจทย์สำคัญของธุรกิจ
การแข่งขันของธุรกิจผลิตภัณฑ์ไก่รุนแรงต่อเนื่อง เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดโดยเฉพาะรายใหญ่
ปัจจุบันมีผู้เล่นในธุรกิจผลิตภัณฑ์ไก่จำนวน 1,278 ราย (เฉพาะนิติบุคคล) โดยราว 80% เป็นผู้ประกอบการรายย่อย ส่วนอีก 20% เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่และรายกลาง
อย่างไรก็ดี ผลผลิตเนื้อไก่จากฟาร์มเลี้ยงไก่ของเกษตรกรรายย่อย มีสัดส่วนเพียง 10% ของผลผลิตไก่เนื้อทั้งหมด ส่วนอีก 90% มาจากผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ลงทุนแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทั้งที่เป็นฟาร์มของบริษัทเอง รวมถึงการทำ Contract farming กับเกษตรกรรายย่อย ซึ่งผู้ประกอบการกลุ่มนี้มีการแข่งขันรุนแรงต่อเนื่อง ทั้งด้านคุณภาพและการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด
แนวโน้มการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทย
มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่คาดโต 3.0% ในปี 2569 ชะลอตัวตามเศรษฐกิจคู่ค้า
ปี 2569 มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยคาดอยู่ที่ 4,665 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 3.0% ชะลอตัวจากปี 2568 ที่คาดว่าจะโต 5.0% ทั้งกลุ่มไก่แปรรูปและไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง (รูปที่ 4)
ไก่แปรรูป ส่งออกราว 70% ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ทั้งหมด คาดว่าจะเติบโตได้ราว 3.2% ชะลอตัวจากปี 2568 ที่คาดว่าจะโต 5.0% โดยเป็นผลจากความต้องการในคู่ค้าหลักอย่าง ญี่ปุ่นและ สหราชอาณาจักรที่ปรับลดลง (รูปที่ 5)
• ญี่ปุ่น แม้ว่าไทยจะได้อานิสงส์บางส่วนจากการที่ญี่ปุ่นยังคงระงับนำเข้าไก่จากบราซิลที่มีการระบาดของไข้หวัดนก รวมถึงเผชิญการระบาดในประเทศ แต่ยังมีความเสี่ยงจากการแข่งขันด้านราคารุนแรงกับจีน โดยราคาส่งออกไก่แปรรูปเฉลี่ยของจีนไปญี่ปุ่นในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ยังถูกกว่าของไทยราว 14% ส่งผลให้การเติบโตของการส่งออกจากไทยอาจไม่มากนัก
• สหราชอาณาจักร แม้จะมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณผลผลิตไก่ในประเทศก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยในปี 2569 คาดว่าการผลิตเนื้อไก่ในสหราชอาณาจักรจะยังขยายตัวได้ราว 2-3% ทำให้คำสั่งซื้อจากไทยอาจโตไม่มากเมื่อเทียบกับช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ส่งออกราว 30% ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ทั้งหมด คาดว่าจะเติบโตได้ราว 2.4% ชะลอตัวจากปี 2568 ที่คาดว่าจะโต 5.0%
• จีน น่าจะยังเป็นตลาดที่ขยายตัวได้ จากความต้องการเนื้อไก่ในประเทศสูง แต่ไทยยังมีความเสี่ยง จากผลผลิตไก่ในจีนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการแข่งขันด้านราคารุนแรงกับคู่แข่งสำคัญที่กลับมาทำตลาดในจีนได้ เช่น บราซิลกลับมาส่งออกไก่ไปจีนได้อีกครั้ง หลังจีนยกเลิกระงับการนำเข้า ขณะที่สหรัฐฯ ก็สามารถส่งออกไก่ไปจีนได้ จากการที่จีนระงับการใช้ภาษีตอบโต้เป็นเวลา 1 ปี รวมถึงรัสเซียที่จีนหันมานำเข้าเพิ่มต่อเนื่อง สะท้อนจากสัดส่วนมูลค่าการนำเข้าเนื้อไก่จากรัสเซีย เพิ่มขึ้นเป็น 19% ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 จาก 13% ในช่วงเดียวกันปีก่อน
• สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แม้จะเป็นตลาดที่มีส่วนแบ่งในตลาดส่งออกของไทยเพียง 2-3% แต่คาดว่าการส่งออกจะยังเติบโตดีต่อเนื่อง ตามความต้องการไก่ฮาลาลที่เพิ่มขึ้น สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 ที่เพิ่มกว่า 3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากปัจจัยเฉพาะตัวของคู่ค้าหลักที่ส่งผลต่อมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยอาจโตชะลอ ยังมีปัจจัยเรื่องของค่าเงินบาทที่แกว่งตัวในทิศทางแข็งค่า โดยปัจจุบัน ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องราว 5.8% เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2567 (ข้อมูล ณ วันที่ 26 พ.ย. 2568) ส่งผลให้ราคาส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยในรูปสกุลเงินดอลลาร์ฯ มีทิศทางปรับสูงขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
ธุรกิจผลิตภัณฑ์ไก่ในตลาดส่งออกแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะกับคู่ค้าที่ได้เปรียบด้านราคา
แม้ว่าไทยจะมีจุดแข็งในเรื่องคุณภาพและมาตรฐาน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีแปรรูปและพัฒนาสินค้าให้ได้ตามออเดอร์ลูกค้า แต่ก็มีความเสี่ยงจากคู่แข่งรายสำคัญอย่าง สหรัฐฯ บราซิลและจีน ที่มีความได้เปรียบด้านต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ต่ำ รวมถึงปริมาณการผลิตที่มี Economy of scale
ขณะที่ไทยจำเป็นต้องนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์เป็นหลัก (กากถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) คิดเป็นสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 60% ของปริมาณความต้องการใช้ในประเทศ ส่งผลให้ไทยมีต้นทุนการผลิตสูง ราคาผลิตภัณฑ์ไก่จึงสูงกว่าคู่แข่ง (รูปที่ 6) ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกดดันการส่งออกของไทยในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า จากการแข่งขันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาด ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้ธุรกิจอาจต้องปรับราคาลดลงมาเพื่อรักษายอดขาย หรือยอมลดอัตรากำไรบางส่วน
นอกจากนี้ การขยายฐานการผลิตในต่างประเทศเพื่อสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน ยังส่งผลให้การส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยในระยะต่อไปอาจชะลอลง สะท้อนจากอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยที่มีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่อง จากช่วงปี 2559-2562 ที่เติบโตเฉลี่ย 9.0% ลงมาอยู่ที่ 6.5% ในช่วงปี 2563-2567
ความเสี่ยงของธุรกิจผลิตภัณฑ์ไก่ของไทย
- ต้นทุนการผลิตยังผันผวน โดยเฉพาะต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ (รูปที่ 7) ซึ่งมีสัดส่วนราว 60-70% ของต้นทุนการผลิตรวม ซึ่งไทยยังพึ่งพาการนำเข้าในสัดส่วนที่สูง จึงมีความเสี่ยงจากความผันผวนของสภาพอากาศที่อาจกระทบกับผลผลิต ขณะที่ปัจจัยการผลิตอื่นๆ อาทิ พันธุ์ไก่เนื้อ ต้นทุนการจัดการฟาร์มและสาธารณูปโภค ก็มีแนวโน้มขยับขึ้น จึงอาจส่งผลต่ออัตรากำไรเฉลี่ย (Gross profit margin) ของธุรกิจให้ปรับลดลงจากปัจจุบันที่อยู่ราว 20%-30%
- อย่างไรก็ดี ปี 2569 ที่ไทยจะเปิดนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐฯ ก็น่าจะช่วยลดต้นทุนอาหารสัตว์ของผู้ประกอบการลงได้บ้าง เนื่องจากราคานำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สหรัฐฯ ถูกกว่าแหล่งนำเข้าเดิมซึ่งมาจากประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา/สปป.ลาว) ราว 47-118 ดอลลาร์ฯต่อตัน และถูกกว่านำเข้าข้าวสาลีราว 66 ดอลลาร์ฯต่อตัน แต่ทั้งนี้คงขึ้นอยู่ปริมาณการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ในแต่ละสูตรด้วย
- อุปสรรคทางการค้าจากทั้งมาตรการทางภาษีและมิใช่ภาษี อาทิ ผลของสงครามการค้ารอบใหม่ที่มีความไม่แน่นอนสูง อาจกระทบต่อเศรษฐกิจคู่ค้าหลักให้เติบโตต่ำ และส่งผลต่อเนื่องมายังยอดคำสั่งซื้อที่อาจปรับลดลง รวมถึงการต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบการส่งออกที่เข้มงวดขึ้น เช่น มาตรฐานสุขอนามัยอาหาร (Food safety standards) มาตรฐานด้านสารตกค้างและการใช้ยา มาตรฐานฟาร์มและสวัสดิภาพสัตว์ (Animal welfare) ตลอดจนการปฏิบัติตามเกณฑ์ ESG ที่อาจส่งผลต่อกระบวนการผลิต อาทิ การตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ และการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีการลงทุนในระบบการจัดการและคุณภาพการผลิตเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้า โดยเฉพาะกลุ่มประเทศในฝั่งสหภาพยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดหลักที่เข้มงวดกับมาตรฐานเหล่านี้
- การพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป ไทยพึ่งพาตลาดส่งออกหลักอย่าง ญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักรในสัดส่วนที่สูง (มากกว่า 60% ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ทั้งหมด) ซึ่งเป็นตลาดที่มีการแข่งขันรุนแรง ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงจึงควรมองหาโอกาสขยายการส่งออกไปยังตลาดศักยภาพใหม่ๆ ที่ยังมีความต้องการสินค้ากลุ่มนี้สูง เช่น กลุ่มตะวันออกกลาง เนเธอร์แลนด์ แคนาดา เป็นต้น
Scan QR Code
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น