Display mode (Doesn't show in master page preview)

24 กันยายน 2568

Econ Digest

การส่งออกไทยเดือน ส.ค. 2568 โตชะลอลง หลังสหรัฐฯ บังคับใช้ภาษี Reciprocal Tariffs

คะแนนเฉลี่ย
o การส่งออกไทยเดือนส.ค. 2568 ขยายตัวชะลอลงตามคาด อยู่ที่ 5.8%YoY เนื่องจากปัจจัยดังต่อไปนี้ (รูปที่ 1) 

• การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ และแผงวงจรไฟฟ้า ยังคงขยายตัวสูง โดยปัจจุบันสินค้ากลุ่มดังกล่าวยังถูกยกเว้นภาษี Reciprocal tariffs และยังไม่ถูกเก็บภาษีนำเข้าภายใต้มาตรา 232 อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ชะลอลงเนื่องจากมีการเร่งนำเข้าสินค้าในช่วงก่อนหน้าไปค่อนข้างมาก และส่งผลให้การส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ โดยรวมชะลอลงอยู่ที่ 12.8% 

• การส่งออกทองคำยังขยายตัวสูง จากความต้องการทองคำที่เพิ่มขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งกว่า 50% เป็นการส่งออกไปตลาดสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งนี้ เมื่อหักทองคำการส่งออกไทยขยายตัวอยู่ที่ 3.3%YoY 

• การส่งออกสินค้าเกษตรหดตัว -13.5%YoY นำโดยการส่งออกข้าวที่ลดลง โดยอินเดียตลาดผู้ส่งออกข้าวหลักของโลกมีนโยบายเพิ่มปริมาณการส่งออกข้าวจึงส่งผลให้อุปทานในตลาดโลกเพิ่มขึ้น อีกทั้ง ส่วนหนึ่งยังเป็นผลจากการแข็งค่าของเงินบาทที่อาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตร ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทยลดลง 

o ถึงแม้ว่าการส่งออกไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปีขยายตัวอยู่ที่ 13.3%YoY แต่ช่วงที่เหลือของปีคาดว่าจะหดตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยทั้งปี 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการภาพรวมการส่งออกไทยขยายตัวอยู่ที่ 5.7% ดังนี้ 

1) ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษี Reciprocal tariffs ของสหรัฐฯ คาดว่าจะชัดเจนขึ้นในเดือนก.ย. 2568 เป็นต้นไป โดยภาษี Reciprocal tariffs มีผลบังคับใช้กับสินค้าที่นำเข้าตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. และยกเว้นสินค้าที่อยู่ระหว่างการขนส่งต้องนำเข้าภายในวันที่ 5 ต.ค. จึงอาจยังไม่เห็นผลกระทบที่ชัดเจนในเดือนส.ค. 

2) การเร่งส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไปยังสหรัฐฯ คาดว่าจะชะลอลง โดยเฉพาะหากมาตรการปรับขี้นภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ มีความชัดเจนขึ้น ซึ่งคาดว่าจะกดดันการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวเนื่องของไทย ตลอดจนภาพรวมของการส่งออกอย่างมีนัยสำคัญ 

3) การส่งออกจีนนอกตลาดสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในหลายตลาด ได้แก่ อาเซียน อินเดีย แอฟริกา ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกไทยไปตลาดเหล่านี้ อาทิ รถยนต์ อีกทั้ง อาจลดโอกาสในการสร้างตลาดใหม่ของไทยเพื่อทดแทนตลาดสหรัฐฯ ที่เสียไป 

4) แนวโน้มเศรษฐกิจและการค้าโลกคาดว่าจะชะลอลง โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตในกลุ่มเศรษฐกิจหลักยกเว้นสหรัฐฯ อยู่ระดับใกล้เคียง 50 สะท้อนภาคการผลิตที่ไม่ขยายตัว รวมถึงค่าระวางเรือปรับที่ลดลงต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2568 (รูปที่ 2) 

o นอกจากนี้ ยังต้องติดตามผลการพิจารณาของศาลฎีกาของสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พ.ย. 2568 ในประเด็นการใช้กฎหมายว่าด้วยอำนาจเศรษฐกิจระหว่างประเทศในภาวะฉุกเฉิน (IEEPA) โดยปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศต่างๆ นั้นเกินอำนาจขอบเขตของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ฯ หรือไม่ ซึ่งหากศาลตัดสินว่าเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตจะส่งผลให้การปรับขึ้นภาษี Reciprocal tariffs กับประเทศต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการค้า และการปรับขึ้นภาษีนำเข้าจีน แคนาดา และเม็กซิโก เพื่อแก้ปัญหาลักลอบนำเข้าเฟนทานิล ถูกยกเลิก 
o การแข็งค่าของเงินบาทขึ้นราว 7% นับจากช่วงต้นปี 2568 (ณ วันที่ 23 ก.ย. 2568) กระทบรายได้ผู้ส่งออกในรูปเงินบาทมากกว่าคำสั่งซื้อที่ลดลง เนื่องจากการส่งออกสินค้ามักตั้งราคาในรูปของเงินดอลลาร์ฯ ขณะที่การส่งออกของไทยมีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจและการค้าโลกค่อนข้างมาก อย่างไรก็ดี การแข็งค่าของเงินบาทจะกระทบต่อรายได้ของผู้ส่งออกเมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาท โดยเฉพาะกลุ่มผู้ส่งออกที่พึ่งพิงวัตถุดิบภายในประเทศอาจได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มอื่น เนื่องจากไม่สามารถใช้กลไก Natural Hedge มาบรรเทาผลกระทบได้ เช่น กลุ่มยางและพลาสติก การผลิตอาหาร เป็นต้น

Scan QR Code


QR Code

หมายเหตุ

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น