Display mode (Doesn't show in master page preview)

8 เมษายน 2568

Econ Digest

เศรษฐกิจเวียดนามไตรมาส 1/2568 โตชะลอที่ 6.93%YoY คาด Reciprocal Tariffs กระทบเชิงลบต่อ GDP 1.5% แต่มีปัจจัยบวกหากเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ สำเร็จ

คะแนนเฉลี่ย
  • เศรษฐกิจเวียดนามไตรมาส 1/2568 เติบโตอยู่ที่ระดับ 6.93%YoY ชะลอจากไตรมาสที่ 4/2567 ที่ 7.55%YoY (รูปที่ 1) ทั้งนี้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจเวียดนามในไตรมาสที่ 1 มาจากการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้นถึง 16.9%YoY ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการนำเข้าเครื่องจักรที่เพิ่มสูงขึ้น หลังพายุไต้ฝุ่นยางิสร้างความเสียหายให้กับฐานการผลิตภาคอุตสาหกรรมของเวียดนาม ประกอบกับการนำเข้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในภาคการผลิตก็เติบโตเร่งขึ้น ส่วนการส่งออกในไตรมาสที่ 1 เติบโตที่ระดับ 10.6%YoY ส่งผลให้เวียดนามเกินดุลการค้าลดลงในไตรมาสที่ 1/2568 (รูปที่ 2 และ 3)
  •  เวียดนามเป็นประเทศที่ถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) สูงถึง 46% (รูปที่ 4) และเสี่ยงส่งผลกระทบเชิงลบต่อ GDP สูงถึง 1.5%  จากการที่เศรษฐกิจเวียดนามพึ่งพาการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดสหรัฐฯ ในระดับสูงเมื่อเทียบกับประเทศอาเซียน (รูปที่ 5) นอกจากนี้ เวียดนามอาจไม่ดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้มากเหมือนที่ผ่านมา โดยอานิสงส์หลักจากสงครามการค้าอาจจะลดน้อยลงไป อย่างไรก็ตาม การลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ คาดยังพอมีศักยภาพดึงดูดเม็ดเงินลงทุน เนื่องจาก Reciprocal Tariffs มีข้อยกเว้นในบางรายสินค้า  ซึ่งเซมิคอนดักเตอร์ก็เป็นหนึ่งในข้อยกเว้นที่ถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% เท่ากันทั่วโลก
  • การส่งออกเวียดนามได้รับผลกระทบทางตรงจากการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และยังได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการเชื่อมห่วงโซ่อุปทานกับจีน คาดส่งออกหดตัว -4.5% ในปี 2025 จากประมาณการเดิมที่ 12% โดยมีรายละเอียดดังนี้
  • ผลกระทบทางตรง: การส่งออกเวียดนามไปยังสหรัฐฯ คาดว่าจะหดตัวที่ -8.1% ในปี 2025 จากความต้องการสินค้าที่ลดลงในกลุ่มสินค้าที่เวียดนามพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เช่น เฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า ของเล่น เครื่องหนัง และรองเท้า รวมทั้งสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของเวียดนามไปยังตลาดสหรัฐฯ (รูปที่ 6)
  • ผลกระทบทางอ้อม: (1) การส่งออกสินค้าของเวียดนามที่เกี่ยวเนื่องกับห่วงโซ่อุปทานที่จีนส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบเชิงลบโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เส้นด้ายฝ้าย และกระดาษลูกฟูก เป็นต้น (2) การส่งออกของเวียดนามไปยังตลาดอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากอุปสงค์ของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง รวมทั้งยังต้องเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้นจากจีนในกลุ่มสินค้า เช่น คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน ของเล่น เกมส์ และผลิตภัณฑ์จากพลาสติก เป็นต้น
  • ความคืบหน้าการเจรจากับสหรัฐฯ ณ วันที่ 4 เม.ย. ประธานาธิบดีทรัมป์เผย เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์โตเลิมของเวียดนามเสนอลดภาษีสินค้าสหรัฐฯ เหลือ 0% เพื่อบรรลุข้อตกลง Reciprocal Tariffs กับสหรัฐฯ และขอให้สหรัฐฯ เลื่อนการเก็บ Reciprocal Tariffs 46% ออกไปก่อนในระหว่างการเจรจาการค้า อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ชี้ปัญหาอยู่ที่ประเด็นข้อกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี ทั้งนี้ คาดเวียดนามจะพิจารณาทบทวนแก้ไขตามข้อเรียกร้องบางส่วนเพื่อลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีตามรายงานของสำนักผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) (ตารางที่ 1) นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ที่ผ่านมา เวียดนามได้ประกาศลดภาษีนำเข้ารถยนต์ ก๊าซ LNG เอทานอล และสินค้าเกษตรหลายรายการ อาทิ แอปเปิล อัลมอนด์ และเชอรี่ อีกทั้งรัฐบาลเวียดนามยังให้คำมั่นจะนำเข้า เครื่องบิน ก๊าซธรรมชาติ สินค้าไฮเทค และสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ จึงเป็นการแสดงความร่วมมือในการแก้ปัญหาสมดุลการค้าระหว่างสองประเทศ
  • ในเบื้องต้น Reciprocal Tariffs คาดส่งผลให้เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตชะลอลงมาที่ 5.3% (รูปที่ 7) แต่ยังมีปัจจัยบวกหากการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ประสบผลสำเร็จ ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า Reciprocal Tariffs เป็นเกมการเจรจาของสหรัฐฯ เพื่อนำมาสู่ข้อตกลงใหม่ของสหรัฐฯ ที่ดีขึ้น ทั้งในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง จึงจำเป็นต้องติดตามผลการเจรจาซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางการค้าการลงทุน และแนวโน้มเศรษฐกิจของเวียดนามในระยะข้างหน้า 

Scan QR Code


QR Code

หมายเหตุ

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น