• ดัชนีหุ้นไทยย่อตัวลงช่วงท้ายสัปดาห์ หลังรับรู้ผลการเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ
ดัชนีหุ้นไทยดีดตัวขึ้นช่วงต้น-กลางสัปดาห์ โดยยังคงมีแรงหนุนต่อเนื่องจากความหวังเกี่ยวกับผลการเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ เนื่องจากมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างอียูและสหรัฐฯ เข้ามาเพิ่มเติม ทำให้ตลาดประเมินว่า ไทยน่าจะบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ได้ทันก่อนเส้นตาย 1 ส.ค. ซึ่งกระตุ้นให้เกิดแรงซื้อหุ้นทุกกลุ่ม
ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยดีดตัวขึ้นได้ช่วงสั้น ๆ ไปแตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 5 เดือนที่ 1,255.39 จุดในช่วงปลายสัปดาห์ ก่อนจะพลิกปรับตัวลงตามแรงขายทำกำไรในหุ้นทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน เทคโนโลยีและแบงก์ หลังตลาดรับรู้ข่าวที่ไทยสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ และอัตราภาษีนำเข้าถูกปรับลดลงมาเหลือ 19% ซึ่งสอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ นอกจากนี้การปรับตัวลงของดัชนีหุ้นไทยยังสอดคล้องกับภาพรวมตลาดหุ้นภูมิภาคท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ
• ในวันศุกร์ที่ 1 ส.ค. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,218.33 จุด เพิ่มขึ้น 0.10% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 53,695.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.35% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.47% มาปิดที่ระดับ 249.41 จุด
• สัปดาห์ถัดไป (4-8 ส.ค. 68) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,200 และ 1,190 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,230 และ 1,255 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.ค. ของไทย ผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ของบจ.ไทย ประเด็นเกี่ยวกับนโยบายภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI/ISM ภาคการบริการเดือนก.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการบริการเดือนก.ค. ของจีน ญี่ปุ่น และยูโรโซน ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนมิ.ย. ของยูโรโซน ตลอดจนตัวเลขส่งออกเดือนก.ค. ของจีน
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น