จัดประเภททรัพย์สินดิจิทัล มีความชัดเจน สอดคล้องกับสากล โดยร่างกฎหมายจะจำแนกประเภททรัพย์สินออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ซึ่งมีมูลค่าอันถือเอาได้ ไม่ต้องมีการอ้างอิงเงินตราอื่นใด และใช้ซื้อ-ขายสินค้าและบริการต่างๆ โดยทั่วไปได้
- โทเคนดิจิทัล (Digital Tokens) ซึ่งให้สิทธ์แก่ผู้ถือในการแลกเปลี่ยนโทเคนกับสินค้า บริการ หรือสิทธิอื่นตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ระหว่างผู้ออกและผู้ถือโทเคน
- ทรัพย์สินในรูปหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์อื่นใดที่ทางกระทรวงการคลังจะกำหนดในอนาคต
กฎหมายมีการระบุถึงการเก็บภาษีบนรายได้จากทรัพย์สินดิจิทัล โดยร่างกฎหมายได้เพิ่มประเภทย่อยของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4) โดยให้รวมถึงรายได้จากทรัพย์สินดิจิทัลสองประการ ประการแรก เงินส่วนแบ่งกำไร หรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้จากทรัพย์สินดิจิทัล และ ประการที่สอง รายได้จากการซื้อขายทรัพย์สินซึ่งมากกว่าเงินลงทุน ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับหุ้นแล้ว
สำหรับรายได้จากทรัพย์สินทั้งสองชนิดนี้ กฎหมายได้กำหนดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่นักลงทุนต้องจ่าย อยู่ที่อัตรา 15% โดยหัก ณ ที่จ่าย และนักลงทุนยังต้องนำไปรวมในการคำนวณฐานเงินได้สุทธิประจำปีเพื่อเสียภาษีในภายหลังด้วย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ จะพบความสอดคล้องกันของเกณฑ์ด้านภาษีตรงที่มีการเพ่งเล็งไปที่การซื้อขายเก็งกำไรระยะสั้นเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดข้างต้นนี้ยังมีโอกาสเปลี่ยนแปลง ขึ้นกับกฎหมายสุดท้ายที่ผ่านขั้นตอนต่างๆแล้ว รวมถึงกฎกระทรวงที่อาจมีการประกาศตามมาในภายหลัง ขณะที่กระทรวงการคลังยังมีแนวทางกำหนดอัตราภาษีเงินได้ในกรณีนิติบุคคล ซึ่งคงต้องรอความชัดเจนเช่นกัน
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น