• ดัชนีหุ้นไทยขยับขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อน
ตลาดหุ้นไทยขยับขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ท่ามกลางความคาดหวังว่า เฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย.นี้ หลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนเม.ย. ของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าตลาดคาด นอกจากนี้ดัชนีหุ้นไทยยังมีแรงหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังบริษัทผู้ให้บริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมรายหนึ่งรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2567 ดีกว่าคาด
อย่างไรก็ดี หุ้นไทยทยอยลดช่วงบวกลงในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ ตามแรงขายของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ หลังตอบรับประเด็นบวกข้างต้นไปพอสมควรแล้ว โดยแม้จะมีปัจจัยบวกจากรายงานข่าวเกี่ยวกับการเตรียมนำกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กลับมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะหนุนให้หุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อ เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจน อนึ่งหุ้นไทยขยับขึ้นเล็กน้อยช่วงท้ายสัปดาห์ตามทิศทางหุ้นภูมิภาค
ในวันศุกร์ที่ 10 พ.ค. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,371.90 จุด เพิ่มขึ้น 0.14% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 40,074.02 ล้านบาท ลดลง 4.48% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 0.85% มาปิดที่ระดับ 386.16 จุด
• สัปดาห์ถัดไป (13-17 พ.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,360 และ 1,350 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,380 และ 1,390 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และผลประกอบการไตรมาส 1/2567 ของบจ.ไทย ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคาผู้บริโภค ยอดค้าปลีก ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/2567 และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมี.ค. ของยูโรโซนและญี่ปุ่น ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนเม.ย.ของยูโรโซน ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนเม.ย. ของจีน อาทิ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีกและการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น