Display mode (Doesn't show in master page preview)

1 ตุลาคม 2567

Econ Digest

ผู้เกี่ยวข้องในตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจของประเทศไทย: อุปสรรค และแนวทางการสนับสนุน

คะแนนเฉลี่ย

ผู้เกี่ยวข้องที่อยู่ในตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจของประเทศไทยเป็นใคร
        ในการพัฒนาตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง มีความจำเป็นต้องทราบว่าผู้เกี่ยวข้องที่อยู่ในตลาดคาร์บอนเครดิตในขณะนี้เป็นใคร มีลักษณะอย่างไร เพื่อจะได้สรรหาเครื่องมือหรือกลไกสนับสนุนกลุ่มดังกล่าว หรือกลุ่มอื่นให้เข้ามาเป็นผู้เกี่ยวข้องในตลาดเพิ่มเติม
        โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย และ อบก. ได้จัดทำรายงานสถานการณ์และแนวโน้มตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจประเทศไทยปี 2567 ระบุลักษณะของผู้เกี่ยวข้องในตลาดคาร์บอน สรุปได้ดังนี้

ลักษณะและบทบาทของผู้เกี่ยวข้องฝั่ง Supply-Demand

  • ฝั่ง Supply

        มีสัดส่วนราว 27% ของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยในกลุ่มนี้มีบทบาทหน้าที่เป็นผู้พัฒนาและดำเนินโครงการคาร์บอนเครดิต โดยหากพิจารณาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอุปทานของคาร์บอนเครดิต ได้แก่ ปริมาณคาร์บอนเครดิตในมาตรฐาน TVERs พบว่า มีการรับรองแล้วทั้งสิ้น 20.5 ล้าน tCO2eq จาก 173 โครงการ ซึ่งโครงการที่ได้รับความนิยมในการพัฒนาเป็นโครงการประเภทพลังงานทดแทนโดยได้รับรองคาร์บอนเครดิตแล้วทั้งสิ้น 11.6 ล้าน tCO2eq (56.5%) จากจำนวน 84 โครงการ
        ถัดมาเป็นโครงการประเภทการเพิ่มประสิทธิภาพพลังาน 15.4% ในขณะที่โครงการประเภทป่าไม้และการเกษตรมีจำนวนโครงการที่ได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตแล้วน้อยที่สุดและมีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการรับรอง 2.7%

        อีกหนึ่งบทบาทของผู้เกี่ยวข้องฝั่ง Supply คือการนำคาร์บอนเครดิตที่ได้รับจากการดำเนินโครงการมาขาย โดยมีเพียง 3.48 ล้าน tCO2eq หรือ 17.0% ของปริมาณคาร์บอนเครดิตที่ได้รับรองทั้งหมด มีการมาซื้อขายกันแล้ว  สาเหตุนี้มาจากการที่ผู้พัฒนาหรือเจ้าของโครงการจะสามารถเลือกได้ว่าจะนำคาร์บอนเครดิตที่ได้รับนั้นมาขายในจำนวนเท่าไหร่ เมื่อไหร่ หรือจะเก็บคาร์บอนเครดิตดังกล่าวเพื่อใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามวัตถุประสงค์ของผู้พัฒนา/เจ้าของโครงการเองก็ได้
        โดยพบว่า ข้อมูลการซื้อขายคาร์บอนเครดิต (รูปที่ 1) มีสัดส่วนอยู่ในโครงการประเภทพลังงานทดแทน (78%) ตามด้วยการจัดการของเสีย (12%) และป่าไม้ (10%)
        อย่างไรก็ดี การที่ปริมาณการซื้อขายคาร์บอนเครดิตน้อยกว่าปริมาณที่ได้รับรอง สะท้อนความน่าจะเป็นได้ 2 กรณีจากฝั่งผู้เกี่ยวข้องในตลาดคาร์บอน ได้แก่

  1. ผู้ขายไม่ได้นำคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองออกมาขายสู่ตลาดคาร์บอนเครดิตเนื่องจากต้องการนำคาร์บอนเครดิตดังกล่าวไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของตนเอง
  2. ผู้ซื้อยังมีความต้องการซื้อคาร์บอนเครดิตไม่มาก ทำให้ราคาขายไม่คุ้มค่าพอให้ผู้พัฒนา/เจ้าของโครงการยินดีขาย
  • ฝั่ง Demand

        องค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ที่มีความต้องการนำคาร์บอนเครดิต TVERs ไปชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการดำเนินการต่าง ๆ ขององค์กรนั้น ๆ ซึ่งมีสัดส่วนราว 13% ของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
        ทั้งนี้ ปริมาณการนำคาร์บอนเครดิตที่ได้ถูกนำไปใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร ผลิตภัณฑ์ งานอีเว้นท์ และการชดเชยส่วนบุคคลด้วยเครดิตมาตรฐาน TVERs มีจำนวนทั้งสิ้น 1.88 ล้าน tCO2eq   (ณ 2 ก.ย. 67) คิดเป็นการชดเชยเฉลี่ยในช่วง 3 ปีล่าสุด 4.55 แสน tCO2eq ต่อปี ในขณะที่มีการปล่อย CO2 ราว 270 ล้านตันต่อปี  สะท้อนศักยภาพปริมาณการชดเชยก๊าซเรือนกระจกด้วยคาร์บอนเครดิตอีกจำนวนมากเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายสู่เส้นทางความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ขององค์กร
แนวทางการพัฒนาตลาดคาร์บอนผ่านปัญหาของผู้เกี่ยวข้องในตลาด
        ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจประเทศไทยยังเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาอีกมาก จากปริมาณการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำมากเทียบกับปริมาณการปล่อยทั้งหมด (0.17%) โดยหากได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน หน่วยงานวิชาการ และหน่วยงานระหว่างประเทศ เพื่อยกระดับตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจประเทศไทยให้มีความนิยมมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ แนวทางการพัฒนาที่เน้นสนับสนุนผู้เกี่ยวข้องฝั่ง Supply และ Demand โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย เสนอแนะแนวทางดังนี้

  1. เพิ่มช่องทางการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศผ่านนโยบายภาคบังคับ โดยกำหนดเครื่องมือ เช่น ภาษีคาร์บอนที่อนุโลมให้สามารถใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยได้บางส่วนหรือกำหนดระยะเวลา
  2. พัฒนามาตรฐานการขึ้นทะเบียน ตรวจวัด และรับรองโครงการให้ใช้ได้ในระดับสากล เพื่อขยายตลาดเพิ่ม Demand การนำคาร์บอนเครดิตไปใช้ได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น เช่น โครงการชดเชยและการลดคาร์บอนสำหรับการบินระหว่างประเทศ (CORSIA), องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) หรือความสามารถในการแปลงข้ามมาตรฐาน เป็นต้น
  3. การสนับสนุนทางการเงิน ผ่านมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการประเมินและรับรองคาร์บอนเครดิต รวมถึงการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิต เพื่อช่วยลดต้นทุนผู้พัฒนาโครงการ
  4. การจัดทำแนวทาง และส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคประชาชนและธุรกิจ (Best Practice) เพื่อสร้างความรู้เกี่ยวกับการดำเนินโครงการคาร์บอนเครดิต รวมถึงการนำคาร์บอนเครดิตไปใช้งาน โดยเฉพาะในระดับชุมชนที่ยังขาดความรู้ แต่อาจมีศักยภาพในการดำเนินโครงการคาร์บอนเครดิต เพื่อดึงดูดองค์กรหรือหน่วยงานใหม่ให้เข้ามาสู่ตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจของประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

 


Click
 ชมคลิป ผู้เกี่ยวข้องในตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจของประเทศไทย: อุปสรรค และแนวทางการสนับสนุน

Scan QR Code


QR Code

หมายเหตุ

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น

Econ Digest

ESG