สรุปความเคลื่อนไหวค่าเงินบาท 
• เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 1 เดือน ก่อนเคลื่อนไหวในกรอบแคบท้ายสัปดาห์ ทั้งนี้เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นช่วงต้น-กลางสัปดาห์เช่นเดียวกับสกุลเงินเอเชียและเงินหยวนที่มีแรงหนุนจากสัญญาณบวกเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ขาดแรงหนุนในช่วงก่อนการประชุมเฟด เนื่องจากตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง หลังจากเงินเฟ้อ CPI ออกมาต่ำกว่าที่คาด ทั้งนี้ เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 1 เดือนที่ 32.23 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนลดช่วงบวกและอ่อนค่าลงบางส่วนตามเงินเยนหลังการประชุม BOJ ไม่ส่งสัญญาณในเชิงคุมเข้ม ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวขึ้นจากท่าทีของประธานเฟดที่ไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนเกี่ยวกับโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC รอบถัดไปในเดือนธ.ค. (แม้ในรอบนี้จะลดดอกเบี้ยลงมาที่ 3.75-4.00% และประกาศเตรียมยุติการลดงบดุลในช่วงต้นเดือนธ.ค.) อย่างไรก็ดี เงินบาทกลับมาเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ ช่วงปลายสัปดาห์ โดยน่าจะได้รับอานิสงส์บางส่วนจากทิศทางแข็งค่าของสกุลเงินเอเชีย แรงซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของต่างชาตอ และตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่เกินดุลมากกว่าที่คาดในเดือนต.ค. 
• สัปดาห์ระหว่างวันที่ 3-7 พ.ย. 2568 KBank คาดกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 32.00-32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนต.ค. ของไทย ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางค่าเงินเอเชีย ราคาทองคำในตลาดโลก คำตัดสินของศาลสหรัฐฯในประเด็นภาษีสินค้านำเข้าของปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ สถานการณ์การชัตดาวน์ของสหรัฐฯ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ผลการประชุมนโยบายการเงินของ BOE ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนของ ADP เดือนต.ค. ของสหรัฐฯ ข้อมูลการส่งออกเดือนต.ค. ของจีน ตลอดจนดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการเดือนต.ค. ของสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อังกฤษ และยูโรโซน 
สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย 
• ดัชนีหุ้นไทยผันผวนช่วงแรก ก่อนจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ โดยยังไม่หลุดแนว 1,300 จุด ทั้งนี้ SET Index ดีดตัวขึ้นจนไปแตะจุดสูงสุดในรอบ 9 เดือนที่ระดับ 1,345.86 จุดในช่วงต้นสัปดาห์สอดคล้องกับทิศทางของตลาดหุ้นภูมิภาคท่ามกลางการคาดการณ์ต่อโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในการประชุมช่วงกลางสัปดาห์หลังตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.ย. ของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด รวมถึงความคาดหวังเชิงบวกต่อการเจรจาการการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากตัวเลขส่งออกเดือนก.ย. ของไทยที่ขยายตัวสูงเกินคาด รวมถึงแรงซื้อหุ้นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่แห่งหนึ่งจากผลประกอบการไตรมาส 3/2568 ที่ออกมาดีกว่าคาด ดัชนีหุ้นไทยย่อตัวลงในเวลาต่อมาตามแรงขายของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติและสถาบันในประเทศ ก่อนจะแกว่งตัวในกรอบแคบในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ ซึ่งแม้เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาตามที่ตลาดคาด แต่ก็ไม่ได้ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นมากนัก เนื่องจากถ้อยแถลงของประธานเฟดสะท้อนว่า อาจจะยังไม่มีการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. ประกอบกับตลาดได้ตอบรับประเด็นเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีนไปพอสมควรแล้วในช่วงต้นสัปดาห์ ส่งผลให้นักลงทุนหันไปสนใจหุ้นบิ๊กแคปที่มีประเด็นเฉพาะตัว อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยย่อตัวลงอีกครั้งช่วงท้ายสัปดาห์สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศท่ามกลางแรงขายทำกำไร โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและพลังงาน 
• สัปดาห์ที่ 3-7 พ.ย. 2568 KSecurities คาดแนวรับที่ 1,300 และ 1,285 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,330 และ 1,345 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนต.ค. ของไทย ผลประกอบการไตรมาส 3/2568 ของบจ.ไทย สถานการณ์ชัตดาวน์ในสหรัฐฯ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP เดือนต.ค. ของสหรัฐฯ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการเดือนต.ค. ของสหรัฐฯ ยูโรโซน จีน และญี่ปุ่น ตลอดจนตัวเลขการส่งออกเดือนต.ค. ของจีน
                            
                                
                                    
                                    
                                        Scan QR Code
                                        
                                         
                                     
                                 
                             
                            
                                หมายเหตุ
                                
                                    รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น