ปฏิรูประบบภาษีโลก ส่งผลต่อไทย...อย่างไร?

130 ประเทศทั่วโลกรวมถึงไทยด้วย ได้เห็นพ้องกันในการปฏิรูประบบภาษีโลกครั้งประวัติศาสตร์ ที่จะช่วยแก้ปัญหาบริษัทข้ามชาติหลบเลี่ยงภาษีได้มากขึ้น โดยมีสาระสำคัญคือ (1) กำหนดอัตราภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax) ที่ 15% โดยใช้กับบริษัทข้ามชาติที่มีรายได้มากกว่า 750 ล้านยูโรต่อปี และ (2) การจัดสรรรายได้ภาษีของบริษัทข้ามชาติที่ให้บริการดิจิทัลในรูปแบบใหม่ให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น โดยให้ประเทศที่มียอดขายของบริษัทข้ามชาติในธุรกิจดิจิทัลมีสิทธิ์รับจัดสรรเม็ดเงินภาษีในอัตรา 20%-30% ของกำไรที่เกินกว่า 10% โดยบังคับใช้กับบรรษัทข้ามชาติที่ให้บริการดิจิทัลที่มีรายได้มากกว่า 2 หมื่นล้านยูโรต่อปี

สำหรับผลต่อไทยแบ่งเป็น (1) ผลกระทบของการกำหนดอัตราภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลก ต่อความสามารถในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติของไทย ซึ่งเมื่อมีการบังคับใช้อัตราภาษีนิติบุคคลนี้ สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่กิจการที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนก็จะหมดไป ทำให้รูปแบบการแข่งขันกันเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติจะเปลี่ยนจากการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีนิติบุคคล มาเป็นการสร้างแรงดึงดูดในเรื่องอื่น อาทิ โครงสร้างพื้นฐาน การเข้าร่วมความตกลงทางการค้า และการสนับสนุนจากภาครัฐอื่นๆ (2) ผลของการจัดสรรเม็ดเงินภาษีจากบริษัทข้ามชาติในธุรกิจดิจิทัลต่อรายได้การจัดเก็บภาษีของไทย ซึ่งข้อกำหนดใหม่นี้จะทำให้รายได้จัดเก็บภาษีของไทยเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตตามยอดขายบริการดิจิทัลที่ขยายตัวต่อเนื่อง อีกทั้งประเทศไทยจะยังสามารถเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกับผู้ให้บริการดิจิทัลที่อยู่ในต่างประเทศได้เหมือนเดิม และยังสามารถได้รับการจัดสรรเงินภาษีเงินได้นิติบุคคลตามข้อตกลงใหม่อีกด้วย

 

สรุป การปฏิรูปภาษีทั่วโลก น่าจะส่งผลบวกต่อไทย ในแง่การจัดเก็บรายได้ภาษีที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจดิจิทัล ส่วนผลกระทบจากการกำหนดอัตราภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลก ที่อาจทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาตินั้น ในเบื้องต้นยังมีอยู่อย่างจำกัด เพราะประเทศที่เป็นคู่แข่งในการดึงดูดการลงทุนต่างชาติก็อยู่ใน 130 ประเทศที่เข้าร่วมการปฏิรูประบบภาษีโลกนี้ด้วย ​