Display mode (Doesn't show in master page preview)

5 กันยายน 2568

Econ Digest

ธปท. คลายเกณฑ์ป้องปรามการเก็งกำไรเงินบาท เพิ่มสมดุลเงินทุน ลดแรงกดดันบาทแข็ง

คะแนนเฉลี่ย
• ธปท. ผ่อนคลายเกณฑ์เกี่ยวกับตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งในส่วนของ 1) มาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท และ 2) หลักเกณฑ์ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน เพื่อให้เอกชนมีความสะดวกในการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ โดยจะเริ่มมีผล 1 ธ.ค. 2568 
• ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การผ่อนคลายเกณฑ์ดังกล่าวไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาทโดยตรง แต่เน้นเพิ่มความยืดหยุ่นในการทำธุรกรรมที่เป็น Real flows ที่มีการค้า/การลงทุน/การชำระเงินรองรับ ตามแผนพัฒนา FX ecosystem ซึ่งทำให้ธุรกรรมเงินขาไหลเข้า-ออกมีความสมดุลมากขึ้น 
• ธปท. ยังคงมาตรการส่วนอื่น ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเก็งกำไรค่าเงินบาทไว้ตามเดิม ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เงินบาทที่มีแรงกดดันด้านแข็งค่าในระยะนี้มีสาเหตุสำคัญมาจากทิศทางเงินดอลลาร์ฯ ที่อ่อน และแรงหนุนจากราคาทองคำในตลาดโลก

ธปท. ผ่อนคลายเกณฑ์การปล่อยสภาพคล่องเงินบาท มาตรการดูแลทุนนำเข้า และการจัดการยอดคงค้างบัญชีเงินบาทของ NR เพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้กับภาคธุรกิจ 
เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2568 ธปท. ประกาศปรับปรุงหลักเกณฑ์มาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท (มาตรการป้องปรามฯ) ของผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-Resident: NR) เช่น บุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย บริษัท กิจการ สถาบัน กองทุน หรือสถาบันการเงินที่ตั้งอยู่นอกประเทศ เป็นต้น  และ NR ที่ไม่ใช่สถาบันการเงินตามที่กำหนด  (NR Non-FI) รวมถึงมีการปรับหลักเกณฑ์การควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตามแผนพัฒนาระบบนิเวศของตลาดอัตราแลกเปลี่ยน โดยเกณฑ์ที่มีการปรับปรุงใหม่แบ่งออกเป็น 2 เรื่องหลัก ได้แก่
1. การผ่อนคลายมาตรการป้องปรามฯ สำหรับ NR และ NR Non-FI โดย
  • สำหรับ NR ธปท. ผ่อนคลายเพิ่มเติมให้สถาบันการเงินในประเทศสามารถให้สินเชื่อสกุลเงินบาท ซื้อตราสารหนี้สกุลเงินบาทที่ NR ออกขายในไทย รวมถึงการค้ำประกันสกุลเงินบาทให้กับ NR และการทำธุรกรรมอนุพันธ์อ้างอิงตราสารหนี้ที่เกี่ยวข้องกับเงินบาท/ราคาตราสารทุนและอนุพันธ์ด้านเครดิตได้ นอกจากนี้ยังมีการผ่อนปรนธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับเงินบาทอื่น ๆ อาทิ การขยับวงเงินที่สถาบันการเงินออกหุ้นกู้สกุลเงินบาทและขายให้กับ NR และปรับเกณฑ์การกู้เงินบาทของบริษัทหลักทรัพย์จาก NR ให้ทำได้ตามความจำเป็นด้วยเช่นกัน (ตารางที่1 ในภาคผนวก)
  • สำหรับ NR Non-FI มีการเพิ่มความคล่องตัวของขั้นตอนเอกสารและการขออนุญาตจากธปท. สำหรับธุรกรรมบางประเภทที่สถาบันการเงินทำกับ NR Non-FI ที่ผ่านกระบวนการ Know Your Business (KYB)  ที่ทำให้สถาบันการเงินรู้จักและมีความเข้าใจลักษณะการทำธุรกิจของลูกค้าที่เกี่ยวข้องกับเงินบาทมากขึ้น รวมถึงมีการยกเลิกการจำกัดยอดคงค้าง ณ สิ้นวันของบัญชีเงินบาท NRBA/NRBS ด้วยเช่นกัน

        อย่างไรก็ดี จะเห็นว่า การผ่อนคลายเกณฑ์ในหลาย ๆ ธุรกรรมที่เสมือนเป็นการปล่อยสภาพคล่องเงินบาทยังคงจำกัดวงเงินให้สามารถทำได้ตามภาระ/มูลค่า Underlying หรือมูลค่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่กำหนด ขณะที่ กรณีไม่มี Underlying ยังคงมีการจำกัดวงเงินธุรกรรมไว้ที่ไม่เกิน 200 ล้านบาทต่อกลุ่ม NR (รวมธุรกรรมปล่อยสภาพคล่องบาทอื่น ๆ)

2. การผ่อนคลายหลักเกณฑ์ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน โดย
        เรื่องหลัก ๆ มีการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การโอนเงินออกนอกประเทศ โดยหากเป็นการส่งเงินแบบให้เปล่าแก่บุคคลในต่างประเทศขยายวงเพิ่ม จากเดิมไม่เกิน 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี เป็นไม่เกิน 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี นอกจากนี้ยังมีการผ่อนคลายให้สามารถโอนเงินออกนอกประเทศ โดยไม่ต้องขออนุญาตจาก ธปท. (ปรับลด Negative List) ซึ่งได้แก่ การชำระค่าสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศของกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล และการให้กู้แก่ NR ที่เป็นกิจการในเครือและไม่ใช่สถาบันการเงิน สามารถทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาต

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองต่อการผ่อนคลายเกณฑ์การเก็งกำไรเงินบาท (ทั้งมาตรการจำกัดการปล่อยสภาพคล่องเงินบาท และมาตรการดูแลเงินทุนนำเข้า) ให้ NR ครั้งนี้ ดังนี้  
•    การผ่อนคลายเกณฑ์การเก็งกำไรเงินบาทให้กับ NR ข้างต้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสมดุลเงินทุนเข้า-ออก เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยมีการเกินดุลการชำระเงินซึ่งทำให้มีการไหลเข้าของเงินตราต่างประเทศมากกว่าการไหลออก โดยส่วนใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการเกินดุลการชำระเงินซึ่งเป็นหนึ่งในแรงกดดันที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า (รูปที่ 1) ดังนั้น การคลายเกณฑ์ครั้งนี้อาจช่วยเติมเต็มระบบนิเวศของตลาดอัตราแลกเปลี่ยน FX ecosystem ให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น เพราะจะช่วยเสริมสร้างความสมดุลและความยืดหยุ่นให้กับธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกรรมประเภท Real flows ที่มีการค้า/การลงทุน/การชำระเงินรองรับ 
 
•    ยังมีการจำกัดวงเงินและประเภทธุรกรรมที่มีผลต่อการปล่อยสภาพคล่องเงินบาทให้กับ NR ไม่ได้เปิดเต็มที่ทั้งหมด เช่น 

o    กรณีการปล่อยสินเชื่อสกุลเงินบาท แม้จะทำได้ตามยอด Underlying ในส่วนของการให้เงินกู้, การเปิด L/C, Trust Receipt, ตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงิน แต่สำหรับการให้วงเงิน OD และธุรกรรมที่ไม่มี Underlying ยังมีการจำกัดวงเงินไว้ที่ไม่เกิน 200 ล้านบาท/กลุ่ม NR  

o    ไม่สามารถให้สินเชื่อสกุลเงินบาทเกินมูลค่าการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน/อุตสาหกรรม และหากก่อนสัญญาสินเชื่อครบกำหนดแล้วมูลค่าโครงการลงทุนฯ ลดลงโดยเหตุผลอื่นนอกเหนือการปรับตามราคาตลาด สถาบันการเงินต้องเรียกเงินบาทคืนจาก NR เพื่อไม่ให้สินเชื่อเกินกว่ามูลค่าการลงทุน

•    หากเป็นขาที่สถาบันการเงินกู้ยืมเงินบาทจาก NR จะสามารถให้ทำได้ในวงเงินไม่เกินกว่า Underlying อีกขาหนึ่งของสถาบันการเงินที่เอาสินเชื่อก้อนนั้นไปปล่อยต่อให้กับผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศ หรือ Resident หรือถ้าไม่มี Underlying ก็จะมีการจำกัดวงเงินไว้ที่ 10 
ล้านบาท/กลุ่ม NR ซึ่งสะท้อนว่า ไม่อยากให้มีผลต่อความผันผวนในด้านเงินบาทแข็งค่า 
•    เป็นที่น่าสังเกตว่า ธปท. ยังคงมาตรการส่วนอื่น ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเก็งกำไรค่าเงินบาท ไว้ตามเดิม ไม่มีการปรับเปลี่ยน เพราะอนุญาตเฉพาะธุรกรรม Forward, Swap, Cross Currency Swap และ Options ที่มี Underlying รองรับเท่านั้น ยังไม่อนุญาตให้ทำธุรกรรมอนุพันธ์ด้านตลาดอ้างอิงราคาตราสารหนี้ (เป็นการทั่วไป) ราคา/ดัชนีราคาทองคำ รวมถึงธุรกรรมซื้อ-ขายหลักทรัพย์ที่มีสัญญาว่าจะขาย-ซื้อคืนภายหลังในลักษณะที่เป็นการปล่อยสภาพคล่องเงินบาท 
        ดังนั้น คาดว่า ในระยะสั้น การผ่อนคลายเกณฑ์ดังกล่าวอาจไม่ได้ส่งผลในการชะลอการแข็งค่าของเงินบาท หรือทำให้เงินบาทเปลี่ยนทิศกลับมาอ่อนค่า เนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาทยังคงเป็นผลมาจากทิศทางราคาทองคำและการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ เป็นหลัก อย่างไรก็ดี การผ่อนคลายเกณฑ์ดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความสมดุลให้กับการไหลเข้าออกของเงินทุนเคลื่อนย้ายมากขึ้น

Scan QR Code


QR Code

หมายเหตุ

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น

Econ Digest