Display mode (Doesn't show in master page preview)

12 ธันวาคม 2568

Econ Digest

ยุบสภา 11 ธ.ค. 68 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2569 ที่ 1.6% แต่ขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอนหลังเลือกตั้ง

คะแนนเฉลี่ย
         เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ได้ประกาศ ยุบสภาผู้แทนราษฎรอย่างเป็นทางการ เปิดทางสู่การจัดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่แบบเร่งด่วน ซึ่งการเลือกตั้งใหม่ต้องจัดขึ้นภายใน 45-60 วัน นับจากวันที่ยุบสภา ซึ่งคาดว่าจะอยู่ระหว่างวันที่ 26 ม.ค.-10 ก.พ. 2569 การยุบสภาเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่ตึงเครียดจากประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และความเสี่ยงที่รัฐบาลอาจเผชิญญัตติไม่ไว้วางใจจากฝ่ายค้าน 
         การยุบสภาส่งผลให้การเมืองไทยเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่าน และรัฐบาลรักษาการมีอำนาจจำกัด โดยไม่สามารถอนุมัติโครงการใหม่หรือที่มีผลผูกพันต่อรัฐบาลชุดถัดไปได้ ยกเว้นรายการที่กำหนดไว้แล้วในงบประมาณรายจ่ายประจำปี ขณะที่การอนุมัติการใช้งบกลางฉุกเฉิน ไม่สามารถทำได้ เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจาก กกต. ก่อน ส่งผลให้หลายมาตรการ เช่น คนละครึ่งพลัส เฟส 2 และ โครงการส่งเสริมการออมผ่าน Thailand Individual Saving Account (TISA) ไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ ขณะที่การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ยังดำเนินต่อเนื่อง แต่การให้สัตยาบันสนธิสัญญาใหม่ต้องชะลอออกไปก่อน 
         สำหรับผลกระทบทางเศรษฐกิจ การยุบสภาเกิดเร็วกว่าที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดไว้ราวครึ่งเดือน ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนภาพรวมของเศรษฐกิจไทยปี 2569 โดยยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2569 ที่ 1.6% (รูปที่ 1) การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 และโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้วสามารถดำเนินต่อได้ ขณะที่งบกลางที่เหลือราว 5 หมื่นล้านบาท ได้ถูกนำไปรวมในประมาณการเศรษฐกิจแล้ว อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายอาจล่าช้าออกไป และลักษณะการใช้จ่ายอาจเปลี่ยนแปลงตามแนวทางของรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารต่อไป ส่งผลให้คาดว่า GDP ไทยในไตรมาส 1/2569 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงจากที่ประเมินไว้เดิม เนื่องจากขาดแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2 ซึ่งเดิมรัฐบาลตั้งใจจะเริ่มในช่วงต้นปีหน้า อย่างไรก็ตาม คาดว่างบค้างใช้จะถูกนำมาใช้หลังจากมีรัฐบาลใหม่ในช่วงไตรมาส 3/2569 ส่งผลให้เศรษฐกิจในไตรมาส 3/2569 อาจขยายตัวสูงกว่าคาดการณ์เดิม ขณะที่ภาพรวมทั้งปี 2569 ยังคงประมาณการการเติบโตของ GDP ไว้ที่ 1.6% ตามเดิม (รูปที่ 2) 
         อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่าน รวมถึงช่วงหลังการเลือกตั้ง อาจกระทบต่อความต่อเนื่องของนโยบาย การเบิกจ่ายงบประมาณ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ส่งผลให้ภาคธุรกิจมีแนวโน้มเข้าสู่โหมดรอดูทิศทาง (wait-and-see) นอกจากนี้ หากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าหรือเกิดความไม่แน่นอนจากการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสม อาจทำให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ชะลอตัว และอาจกระทบต่อการดำเนินงานของรัฐบาลชุดใหม่ ตลอดจนอาจเพิ่มความไม่แน่นอนต่อแผนการคลังระยะปานกลาง (MTFF) ซึ่งอาจมีผลต่อมุมมองด้านความน่าเชื่อถือของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ทั้งนี้ ความเสี่ยงเหล่านี้ได้ถูกสะท้อนไว้ในประมาณการเศรษฐกิจแล้วในระดับหนึ่ง

Scan QR Code


QR Code

หมายเหตุ

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น

Econ Digest

GDP