- โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง โดยรัฐบาลช่วยจ่ายค่าโรงแรมและที่พักสูงสุดไม่เกิน 3,000 บาท ต่อห้องต่อคืน จำนวน 5 แสนสิทธิ์ ปัจจัยด้านบวกในช่วงโลว์ซีซั่น
- แต่เนื่องจากในปี 2568 ตลาดไทยเที่ยวไทยเผชิญความท้าทายสูง เศรษฐกิจไทยชะลอตัว ปัจจัยการเมืองในประเทศ ภัยธรรมชาติ รวมถึงคนไทยเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้น
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ปี 2568 คนไทยเที่ยวในประเทศจะมีจำนวน 205 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 2.2% ชะลอลงจากปีก่อน และก่อให้เกิดรายได้คิดเป็นมูลค่า 1.14 ล้านล้านบาท โต 2% ชะลอลงจากปีก่อนเช่นกัน แต่เทรนด์คนไทยนิยมเที่ยวเมืองรองมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนและรายได้
ครึ่งแรกปี 2568 การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของคนไทยโตชะลอลง คาดว่าจะมีจำนวน 101 ล้านคน-ครั้ง หรือโตประมาณ 2.3% (YoY) ขณะที่รายได้ท่องเที่ยวจากคนไทยเที่ยวในประเทศมีมูลค่า 574,426 ล้านบาท เติบโต 3.5% (YoY) (รูปที่ 1)
เนื่องจากตลาดเผชิญปัจจัยลบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว คนไทยเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ และกำลังซื้อของผู้บริโภคบางกลุ่มยังอ่อนแอ โดยบางจังหวัดคนไทยเดินทางท่องเที่ยวลดลง อาทิกรุงเทพฯ กระบี่ อยุธยา และจันทบุรี
ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 คนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศน่าจะยังเติบโตได้ แต่ชะลอลงมาอยู่ที่ 1.4% (YoY) ตลาดมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการเดินทางท่องเที่ยวที่มีอยู่ และโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง โดยรัฐบาลช่วยจ่ายค่าโรงแรมและที่พัก รวมถึงคูปองดิจิทัลเพื่อใช้จ่ายในร้านค้าที่กำหนด อย่างไรก็ตาม สภาพแวดล้อมของตลาดยังมีปัจจัยลบมากขึ้น อาทิ
- เศรษฐกิจไทยมีทิศทางชะลอตัวและปัจจัยการเมืองในประเทศ ฉุดความเชื่อมั่นและรายได้ของผู้บริโภค
- สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน อาจกระทบการเดินทางท่องเที่ยว
- คนไทยนิยมเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ ส่วนหนึ่งมาจากการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศที่สะดวกขึ้นจากมาตรการวีซ่าฟรี รวมถึงการทำตลาดของบริษัทนำเที่ยวที่ทำให้การท่องเที่ยวไปยังบางประเทศคุ้มค่าเมื่อเทียบกับการเที่ยวในประเทศ อาทิ แพคเกจท่องเที่ยวหรือโปรไฟไหม้ไปเกาหลีใต้ 4 วัน 2 คืน ราคาต่ำสุดเฉลี่ย 6,000 บาท หรือไปเวียดนามราคาต่ำสุดเฉลี่ย 7,000 บาท
ทั้งปี 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าคนไทยเดินทางเที่ยวในประเทศจะมีจำนวน 205 ล้านคน-ครั้ง หรือเติบโต 2.2% จากปีก่อน (รูปที่ 2) แต่เป็นการเติบโตที่ไม่เท่ากันในแต่ละพื้นที่ โดยจังหวัดท่องเที่ยวรอง (เมืองน่าเที่ยว) ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไทยมากขึ้น
เทรนด์คนไทยเที่ยวเมืองรองหรือเมืองน่าเที่ยวมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งมาจากหลายปัจจัย อาทิ ความต้องการหลีกเลี่ยงความแออัดของสถานที่ท่องเที่ยว การมองหาสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ การรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวจากสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงศาสนา
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดสัดส่วนคนไทยเที่ยวเมืองรองในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นเป็น 41.4% จากในช่วง 5 เดือนแรกปี 2568 คนไทยเที่ยวเมืองรองมีสัดส่วนอยู่ที่ 41.3% และโตเร่งขึ้นกว่า 32.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 (ก่อนโควิด-19) โดยพบว่า ในหลายจังหวัดเมืองรองมีจำนวนนักท่องเที่ยวไทยสูงกว่า 2 ล้านคน อาทิ สุพรรณบุรี เชียงราย สมุทรสงคราม อุบลราชธานี (รูปที่ 3) ซึ่งสูงกว่าหลายจังหวัดท่องเที่ยวหลัก เช่น สงขลา คนไทยเดินทางไปท่องเที่ยวมีจำนวนประมาณ 1.4 ล้านคน ขณะที่พังงา คนไทยเดินทางไปเที่ยวมีจำนวนเพียง 6.5 แสนคน อย่างไรก็ตาม สัดส่วนรายได้ท่องเที่ยวเมืองรองยังน้อยโดยอยู่ที่ประมาณ 28% เมื่อเทียบกับรายได้จากเมืองท่องเที่ยวหลักที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 72% ของรายได้จากไทยเที่ยวไทยทั้งหมด
ปี 2568 การใช้จ่ายของคนไทยเที่ยวในประเทศคาดว่าจะมีมูลค่า 1.14 ล้านล้านบาท ขยายตัว 2% จากปีที่ผ่านมา โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4,100 บาท/คน/ครั้ง ยังต่ำกว่าปี 2562 (ก่อนโควิด-19) (รูปที่ 4)
ทั้งนี้ การใช้จ่ายต่อคนต่อครั้งที่ยังไม่ฟื้นตัวเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวกระทบการใช้จ่ายระหว่างเดินทางท่องเที่ยว กอปรกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวไทยเปลี่ยนไป โดยคนไทยมากกว่าครึ่ง (ประมาณ 51% ของจำนวนผู้เยี่ยมเยือนคนไทยเที่ยวในประเทศทั้งหมด) นิยมเดินทางแบบไปเช้า-เย็นกลับ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงคนไทยเที่ยวเมืองรองมีสัดส่วนมากขึ้น แต่การใช้จ่ายในเมืองท่องเที่ยวรองเฉลี่ยอยู่ที่ 2,800 บาท/คน/ครั้ง ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในเมืองท่องเที่ยวหลักที่เฉลี่ยที่ประมาณ 5,000 บาท/คน/ครั้ง โดยค่าใช้จ่ายในเมืองท่องเที่ยวรองที่ต่ำส่วนหนึ่งมาจากราคาค่าบริการท่องเที่ยวที่ไม่สูง อาทิ ค่าบริการที่พักระดับ 4 ดาว เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1,850 บาทต่อคืน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างกรุงเทพฯ หรือภูเก็ตอยู่ที่ประมาณ 3,500 บาทต่อคืน รวมถึงค่าบริการอาหารและของที่ระลึกที่เฉลี่ยถูกกว่า
Scan QR Code
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น