Display mode (Doesn't show in master page preview)

10 พฤษภาคม 2565

Econ Digest

พลิกฟื้นทะเล สู่ความยั่งยืน...ในอุตสาหกรรมประมง

คะแนนเฉลี่ย

ปัญหาประมงเกินขนาด (overfishing)  กำลังสั่นคลอนความยั่งยืนของทรัพยากรทางทะเล โดยองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่าในปี 2562 ปริมาณการจับสัตว์ทะเลทั่วโลก
มีจำนวน 92.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 820% จากปี 2493 และในจำนวนนี้เป็นประมง overfishing กว่า 34.2%  ซึ่งส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการพัฒนาของเทคโนโลยีการเดินเรือและการขยายตัวของอุตสาหกรรมประมง
ที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการของประชากรที่มากขึ้น โดย FAO คาดการณ์ว่าปริมาณความต้องการอาหารทะเลจะเพิ่มขึ้นจาก 20 กิโลกรัมต่อคนต่อปี เป็น 25.5 กิโลกรัมต่อคนต่อปีในปี 2593  ซึ่งหากไม่มีการจัดการทรัพยากรทางทะเลที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ ก็อาจจะนำไปสู่ความเสียหายต่อความหลากหลายทางชีวภาพและความยั่งยืนของอุตสาหกรรมประมงเอง



สหภาพยุโรป (อียู) ในฐานะกลุ่มประเทศผู้นำเข้าสินค้าประมงรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ออกกฎระเบียบ Illegal, Unreported and Unregulated Fishing (IUU Fishing) หรือการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหา overfishing ให้ทุกประเทศที่ส่งออกสินค้าประมงไปยังอียูดำเนินการแก้ไขปัญหา IUU Fishing อย่างจริงจัง โดยไทยในฐานะประเทศที่มีการส่งออกสินค้าประมงสูงสุดเป็นอันดับ 7 ของโลก   ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกในปี 2564 จำนวน 1.95 แสนล้านบาท และมีการจับสัตว์ทะเล
เป็นอันดับ 15 ของโลก ได้ถูกเพ่งเล็งด้านปัญหา IUU Fishing จากอียู จนในปี 2558 อียูได้ประกาศให้ใบเหลืองไทย ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการใช้มาตรการคว่ำบาตรการนำเข้าสินค้าประมงจากไทย หากทางการไทยยังคงเพิกเฉยต่อปัญหาดังกล่าว ทำให้มีความพยายามด้านกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาตามคำแนะนำของอียู เช่น
การบังคับใช้ พ.ร.ก. การประมง พ.ศ. 2558 พ.ร.ก. การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 รวมทั้งแผนการบริหารจัดการประมงทะเลของประเทศไทย (Marine Fisheries Management Plan of Thailand, FMP) พ.ศ. 2558 – 2562 ที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์อ้างอิงระดับผลผลิตสูงสุดที่ยั่งยืน (Maximum Sustainable Yield, MSY)ในการกำหนดปริมาณสัตว์น้ำสูงสุดที่อนุญาตให้ทำการประมงในน่านน้ำไทย และ
ทำให้การลงแรงประมง และปริมาณการจับปลาในน่านน้ำไทยปัจจุบันต่ำกว่าค่า MSY  จนอียูปลดใบเหลืองประมงไทยเมื่อ 8 มกราคม 2562




ผลกระทบของการทำประมงที่เกินศักยภาพหรือ overfishing ที่ผ่านมา ส่งผลให้สถิติปริมาณการประมงในธรรมชาติของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง จนมีระดับต่ำที่สุดในปี 2560 โดยมีจำนวน 1.49 ล้านตัน ลดลงครึ่งหนึ่งจากปริมาณผลผลิตประมงที่เคยจับได้ในปี 2543 ที่มีจำนวน 3 ล้านตัน  ทั้งนี้ ความพยายามด้านการปรับปรุงกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหา IUU Fishing ที่ผ่านมาของภาครัฐ และการดำเนินการตามแผนบริหารจัดการประมงทะเลของประเทศไทยในฉบับปัจจุบัน (FMP พ.ศ. 2563 – 2565) ที่เน้นพัฒนาแนวทางการปฏิรูปการประมงจากความสำเร็จในการแก้ไขปัญหา IUU Fishing และเสริมสร้างความยั่งยืนแก่ทรัพยากรประมงเพิ่มเติมจาก FMP ฉบับเดิม เช่น การขยายการทำประมงอย่างยั่งยืนเข้าสู่ระดับ MSY ไปยังเขตทะเลน้ำลึก และนอกน่านน้ำ การใช้แนวทางปฏิบัติว่าด้วยความสมัครใจเกี่ยวกับความปลอดภัยและความยั่งยืนของการทำการประมงขนาดเล็กเพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของชาวประมงพื้นบ้านและชุมชนประมงชายฝั่ง ประกอบกับสถานการณ์ COVID-19 ที่กลายเป็นโอกาสให้ทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศน์ได้ฟื้นตัวได้
เร็วขึ้น จนทำให้ปริมาณผลผลิตประมงเพิ่มขึ้นมาเป็น 1.63 ล้านตันในปี 2564


 
ทั้งนี้ ปริมาณผลผลิตทางการประมงที่จับได้ในธรรมชาติที่เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัว ซึ่งเป็นผลจากการกำหนดกฎระเบียบ ทำให้มีการรายงาน และการควบคุมการทำประมงตามช่วงเวลาและปริมาณที่เหมาะสม อย่างไรก็ดีผลผลิตทางการประมงอาจยังไม่สามารถฟื้นฟูได้ถึงในระดับที่ทรัพยากรธรรมชาติยังคงอุดมสมบูรณ์เช่นในอดีตได้ในระยะอันใกล้นี้ ดังนั้น อุตสาหกรรมประมงและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ยังคงต้องรักษามาตรฐานการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมให้ถูกต้องตามกฎหมายและปราศจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อไป เนื่องจากจะมีการบังคับใช้มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต เช่น การดำเนินมาตรการตามร่างแผนบริหารจัดการประมง พ.ศ. 2566 – 2570 ของทางการไทย ที่ต้องการให้อุตสาหกรรมประมงของไทยปลอดสินค้าสัตว์น้ำจาก IUU Fishing ควบคู่กับการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลให้มีความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งในอนาคตการทำประมงพาณิชย์ในแหล่งน้ำธรรมชาติคงจะเผชิญกับข้อจำกัดที่มากขึ้น จากปริมาณทรัพยากรทางทะเลที่ลดน้อยลง ประกอบกับความพยายามในการอนุรักษ์และสร้างความยั่งยืนให้แก่ทรัพยากรทางทะเลที่เพิ่มมากขึ้น จนในที่สุดทางออกของอุตสาหกรรมประมงที่ยั่งยืน อาจเหลือเพียงการอนุญาตให้ทำประมงพื้นบ้านในท้องถิ่นนั้น ๆ ซึ่งที่ผ่านมามักได้รับผลกระทบจากการทำประมงพาณิชย์ขนาดใหญ่ และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำภายใต้การควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ที่สามารถควบคุมและติดตามได้ง่าย นอกจากนี้ ทรัพยากรทางทะเลยังคงได้รับผลกระทบจากปัจจัยอื่น ๆ จากการกระทำของมนุษย์อีก เช่น ปัญหาขยะ สารเคมี รวมทั้งผลกระทบทางอ้อมที่เกิดจากสภาวะโลกร้อน ดังนั้น ในวันคุ้มครองโลก (Earth Day) ที่ 22 เมษายน นี้ อยากรณรงค์ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้บริโภคทุกคนควรช่วยกันหาหนทางรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับโลก รวมทั้งทรัพยากรทางทะเลให้เพียงพอต่อความต้องการ
ในอนาคตต่อไป

Scan QR Code


QR Code

หมายเหตุ

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น

Econ Digest