Key Summary
- ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ พ.ร.บ. Climate Change (ร่าง พ.ร.บ.ฯ) ซึ่งคาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรีภายในกลางปีนี้ จะสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2065
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว จะส่งผลดีการลด GHGของประเทศที่จะเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอีก 3 เท่าภายในปี ค.ศ. 2040
- แต่ภาคอุตสาหกรรมไทยที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงจำนวน 14 อุตสาหกรรม ที่มีมูลค่า 6.5 ล้านล้านบาทหรือ 37% ของ GDP จะเผชิญกับต้นทุนการดำเนินกิจการที่เพิ่มสูงขึ้น จากการประเมินคาร์บอนฟุตพริ๊นต์ ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และระบบภาษีคาร์บอน
- การดำเนินการเพื่อลด GHG จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในการดำเนินธุรกิจ ผู้ประกอบการควรมีการตรวจวัดคาร์บอนฟุตพริ๊นต์อย่างสม่ำเสมอ ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล หันมาลงทุนในพลังงานหมุนเวียน เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
สรุปร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ... กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมได้เปิดรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ พ.ร.บ. Climate Change (ร่าง พ.ร.บ.ฯ) ซึ่งเปิดให้รับฟังความคิดเห็นเสร็จสิ้นแล้วระหว่างวันที่ 14 กุมภาพันธ์ – 27 มีนาคม ค.ศ.2024 ก่อนจะเสนอคณะรัฐมนตรีภายในกลางปี
ร่าง พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวจะยกระดับการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งกฎระเบียบที่ใช้ในปัจจุบันไม่ครอบคลุมการดำเนินงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงต้องมีการร่าง พ.ร.บ.ฯ เพื่อบังคับใช้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าการบังคับใช้ร่าง พ.ร.บ.ฯ จะส่งผลดีต่อภาพรวมในการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศและสามารถบรรลุเป้าหมายในปี ค.ศ. 2065 อย่างไรก็ดีจะกระทบโดยตรงต่อต้นทุนในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ1. จัดทำบัญชี GHG ภาคบังคับ จากเดิมที่การตรวจวัด GHG ตามความสมัครใจและเผยแพร่ในรายงานประจำปีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ร่าง พ.ร.บ.ฯ จะให้หน่วยงานรัฐมีอำนาจขอข้อมูลการปล่อย GHG ของกิจกรรม 5 ประเภท ในอุตสาหกรรมที่กำหนด
ในประเมินคาร์บอนฟุตพริ๊นต์ขององค์กร (CFO) เพื่อให้ได้ปริมาณ GHG จะต้องมีการจ้างที่ปรึกษาเพื่อวัดและรับรองปริมาณ GHG เป็นประจำทุกปี ๆ ละ 1 ครั้ง มีค่าใช้จ่ายประมาณ 30,000 บาท ขณะที่ประเมินคาร์บอนฟุตพริ๊นต์ผลิตภัณฑ์ (CFP) ประเมิน 2 ปี 1 ครั้ง (ใช้ระยะเวลาประเมิน 2 วัน หากมีโครงสร้างธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์มีความซับซ้อนจะใช้ระยะเวลาประเมินมากขึ้นและมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น) ภาครัฐควรมีมาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายโดยการให้เงินสนับสนุนหรือนำค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีได้
2. กองทุนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (กองทุนฯ)
การสนับสนุนทางการเงินให้แก่โครงการลด GHG ที่ในปัจจุบันหน่วยงานรัฐทำโดยสนับสนุนได้เฉพาะเครื่องมือที่อยู่ในอำนาจของตนเอง เช่น
• การยกเว้นภาษีผ่าน BOI
• การให้เงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าของกรมสรรพสามิต
• สนับสนุนโครงการพลังงานหมุนเวียนผ่านกองทุนพัฒนาไฟฟ้าที่ให้เฉพาะหน่วยงานรัฐ
โดยกองทุนฯ จะทำให้การสนับสนุนการดำเนินการด้านการลด GHG ที่ครอบคลุมในทุกมิติ ทุกอุตสาหกรรมทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน เช่น โครงการคาร์บอนเครดิตประเภทการปลูกป่าที่ไม่เคยมีการสนับสนุนทางการเงิน การตรวจวัดและรับรองคาร์บอนฟุตพริ๊นต์ เป็นต้น
รวมถึงบทบาทของกองทุนฯ ในการสนับสนุนการลดการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิลจะมีส่วนสำคัญในการลด GHG ของประเทศ ซึ่งประเทศไทยตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 68% ในปี ค.ศ. 2040 และ 74% ปี ค.ศ. 2050 (รูปที่ 1)
3.กลไกกำหนดราคาคาร์บอน ได้แก่ ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading System: ETS) และภาษีคาร์บอน
• ETS เป็นตลาดคาร์บอนภาคบังคับที่ใช้ในสหภาพยุโรป ที่จะให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่ปล่อย GHG ที่กำหนดจะต้องส่งมอบสิทธิในการปล่อย GHG ต่อรัฐบาลทุกปี โดยสิทธิมาจากการจัดสรร ประมูล หรือซื้อขายระหว่างผู้ประกอบการ
• ภาษีคาร์บอน เป็นการเก็บภาษีตามปริมาณ GHG ที่ประเมินจากวัฏจักรของสินค้า สามารถจัดเก็บได้ทั้งสินค้าที่ผลิตภายในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ เหมือนมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (EU-CBAM)
ในปัจจุบันประเทศไทยมีภาษีที่คำนวณจากปริมาณการปล่อย CO2 ในภาษีสรรพสามิตรถยนต์
อย่างไรก็ดีมาตรการ ETS หรือภาษีคาร์บอน หากนำมาใช้ควบคู่กันจะก่อให้เกิดต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่ทับซ้อน ควรกำหนดให้ค่าใช้จ่ายจาก ETS หรือภาษีคาร์บอนสามารถนำไปลดหย่อนค่าใช้จ่ายในอีกมาตรการได้ เนื่องจากมาตรการ ETS จะรวมการปล่อย GHG จากทั้งการผลิตสินค้าและการดำเนินธุรกิจอื่น ๆ ของผู้ประกอบการ ซึ่งหากมีการเก็บภาษีคาร์บอนด้วย ผู้ประกอบการจะต้องเสียภาษีจากการปล่อย GHG ของสินค้าอีกรอบ
4.ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบจากบังคับใช้ร่าง พ.ร.บ.ฯ คิดเป็นมูลค่า 6.5 ล้านล้านบาท หรือ 37% ของ GDP โดยการบังคับใช้คาดว่าจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ (รูปที่ 2)
• ระยะที่ 1 อุตสาหกรรมที่ปล่อย GHG สูง และอุตสาหกรรมที่อยู่ใน EU-CBAM ภายในปี ค.ศ. 2026 (พ.ศ. 2569) ได้แก่ ภาคขนส่ง สาธารณูปโภค โลหะ และอโลหะ มีมูลค่าอุตสาหกรรมรวม 1.71 ล้านล้านบาท หรือ 10% ของ GDP
• ระยะที่ 2 อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะอยู่ใน EU-CBAM ระยะที่ 2 ได้แก่ สาขา ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ยางและพลาสติก การขุดเจาะปิโตรเลียม เคมีภัณฑ์ เหมืองถ่านหิน และ กระดาษและเยื่อกระดาษ คิดเป็นมูลค่า 1.77 ล้านล้านบาท หรือ 10% ของ GDP
• ระยะที่ 3 อุตสาหกรรมในประเทศอื่น ๆ ที่มีการปล่อย GHG เข้มข้นสูง ได้แก่ เกษตรและปศุสัตว์ อาหารและเครื่องดื่ม คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ไฟฟ้า คิดเป็นมูลค่า 3.02 ล้านล้านบาท หรือ 17% ของ GDP
ผู้ประกอบการควรเตรียมพร้อมอย่างไร1.การประเมินคาร์บอนฟุตพริ๊นต์ขององค์กรและผลิตภัณฑ์จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการดำเนินธุรกิจ ถึงแม้ว่าปัจจุบันการตรวจวัด GHG จะเป็นการดำเนินการภาคสมัครใจ แต่แนวโน้มในอนาคตการตรวจวัด GHG ขององค์กรจะเป็นบรรทัดฐานใหม่ของที่จะต้องมีการรายงานเช่นเดียวกับการรายงานงบการเงิน มีชื่อว่า IFRS S1 และ S2 จัดทำโดย International Sustainability Standards Board (ISSB) ในปัจจุบันประเทศสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น แคนนาดา และออสเตรเลียกำลังศึกษาแนวทางในการนำมาตรฐานดังกล่าวมาบังคับใช้
2.การลด GHG ในกระบวนการผลิตและการดำเนินกิจการจะเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยแนวโน้มนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคตจะทำให้ต้นทุนการผลิตของผู้ที่ปล่อย GHG สูงเพิ่มขึ้น และจะสูญเสียความสามารถในการแข่งกันต่อผู้ประกอบการที่ปล่อย GHG ต่ำ ผู้ประกอบการควรปรับตัวเพื่อลด GHG ทั้งในกระบวนการผลิตและการดำเนินกิจการอื่น ๆ
•
ระยะสั้น ผู้ประกอบการสามารถลด GHG ได้ด้วยการใช้คาร์บอนเครดิตที่มีมาตรฐานรองรับ เช่น T-VER (องค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก) VCS (VERRA) Gold Standard เป็นต้น หรือซื้อใบรองรองพลังงานหมุนเวียน (REC) เพื่อลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าจากเชื้อเพิลงฟอสซิล
• ระยะยาว ผู้ประกอบการจะต้องมีการลงทุนเผื่อปรับเปลี่ยนกระบวนการใช้พลังงานหรือเทคโนโลยีเพื่อลด GHG ได้แก่
o เปลี่ยนเครื่องจักรที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมาใช้ไฟฟ้า
o เปลี่ยนการขนส่งเป็นรถยนต์ Hybrid หรือรถยนต์ไฟฟ้า
o ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทดแทนโดยการติดตั้ง Solar Roof หรือทำสัญญาซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดจากภาคเอกชน (Power Purchasing Agreement: PPA)
o ใช้วัสดุทดแทนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ อย่างวัสดุ Recycle วัสดุเหลือใช้ เป็นต้น
o เทคโนโลยีขั้นสูง Carbon Capture Utilization and Storage เชื้อเพลิงไฮโดรเจน
3.นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้นตลอดเวลา ผู้ประกอบการควรติดตามพัฒนาการของกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างสม่ำเสมอ นโยบาย EU-CBAM ที่จะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบในปี 2026 และจะขยายประเภทสินค้ามากขึ้น มาตรการ US-CBAM ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา ที่อาจส่งผลต่อความสามารถในรแข่งขันของผู้ผลิตในระยะยาว
อย่างไรก็ดี คาดว่าร่าง พ.ร.บ.ฯ จะต้องใช้ระยะเวลา 1 - 2 ปี เพื่อพิจารณาในรายละเอียด แต่ผู้ประกอบการควรรีบดำเนินการ โดยเริ่มจากการตรวจวัดคาร์บอนฟุตพริ๊นต์ทั้งในระดับองค์กรและผลิตภัณฑ์เป็นอันดับแรก ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการรวบรวมข้อมูล โดยธุรกิจสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปแสดงในรายงานของกิจการหรือแสดงในฉลากผลิตภัณฑ์เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านสิ่งแวดล้อมของกิจการได้
|
Click ชมคลิป ส่องร่าง พ.ร.บ. Climate Change ภาคเอกชนควรเตรียมพร้อมอย่างไร? |
Scan QR Code
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น