ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ว่ามูลค่าการส่งออกผลไม้ของไทยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 จะเติบโตดี จากการอยู่ในช่วงฤดูกาลส่งมอบผลไม้ที่สำคัญของปี ประกอบกับการกลับมาขยายตัวของการส่งออกผลไม้สดจากฐานที่ต่ำในปีก่อน รวมถึงการเพิ่มการส่งออกผลไม้ไปยังตลาดใหม่ๆ ได้มากขึ้น แต่ด้วยเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญที่ชะลอตัว โดยเฉพาะจีนและสหรัฐฯ และผลจากสภาพอากาศที่แปรรปรวน อาจกดดันให้อัตราการเติบโตของมูลค่าการส่งออกผลไม้ของไทยในช่วงที่เหลือของปีชะลอลง ส่งผลให้ทั้งปี 2566 ภาพรวมมูลค่าการส่งออกผลไม้ของไทยอาจอยู่ที่ 7,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวราว 2.3%YoY โดยกลุ่มสินค้าที่มีแนวโน้มเติบโต ได้แก่ กลุ่มผลไม้สด แช่เย็นและแช่แข็ง จากการส่งออกไปยังตลาดจีนที่กลับมาขยายตัวดี ส่วนกลุ่มสินค้าที่แนวโน้มหดตัว ได้แก่ กลุ่มผลไม้กระป๋องและแปรรูป จากคำสั่งซื้อจากตลาดคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปที่ถูกปรับลดลง
ระยะข้างหน้า การจัดการต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะจากวัตถุดิบอาหารและแรงงาน ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันเฉลี่ยเกือบ 80% ของต้นทุนรวม จะยังเป็นโจทย์ต่อเนื่องในช่วงข้างหน้าสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกผลไม้ เมื่อสภาพอากาศจะยิ่งแปรปรวนและอุณหภูมิโลกและน้ำทะเลจะสูงขึ้นเร็ว พร้อมๆ กับการเกิดปราฏการณ์เอลนีโญ จึงเป็นความเสี่ยงด้านผลผลิตและราคาวัตถุดิบทั่วโลก ส่วนต้นทุนแรงงานก็มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ท่ามกลางการขาดแคลนแรงงานและการแย่งแรงงานในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ทำให้ธุรกิจจึงจำเป็นต้องปรับตัวทั้งการเพิ่มทักษะแรงงาน ผลิตภาพแรงงาน รวมถึงการลงทุนด้านเทคโนโลยีการผลิตเพื่อทดแทนแรงงาน โดยการปรับตัวดังกล่าวนำมาซึ่งต้นทุนที่สูงเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีต้นทุนอื่นๆ ที่คาดว่าจะยังยืนตัวสูง ทั้งต้นทุนสาธารณูปโภคและต้นทุนทางการเงิน ซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถด้านการแข่งขันของผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้า ดังนั้น การทำธุรกิจผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้กระป๋องและแปรรูปจะมีความซับซ้อนและท้าทายมากขึ้น โดยเฉพาะกับผู้ประกอบการขนาดย่อมและรายย่อย (Micro และ Small Enterprises) ซึ่งมีจำนวนมาก แต่ผลประกอบการส่วนใหญ่ยังคงมีกำไรน้อยหรือขาดทุน ดังนั้น ความสามารถในการเพิ่มยอดขายหรือทำกำไร จึงเป็นโจทย์ของธุรกิจท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น