เข้าสู่ปี 2564 อุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ไทยอาจต้องเผชิญกับโจทย์ใหม่ที่ท้าทายจากฝั่งสหรัฐฯซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศนำเข้าหลัก หลังสหรัฐฯประกาศหยุดให้สิทธิ GSP กับชิ้นส่วนรถยนต์ไทยหลายรายการ ส่งผลให้ไทยไม่อาจใช้กลยุทธ์ด้านราคาแบบเดิมได้อีกในการแข่งขันในสหรัฐฯ โดยในปี 2564 ซึ่งการตัด GSP จะเริ่มมีผลบังคับใช้นั้น หากไทยไม่สามารถหาตลาดส่งออกใหม่เพื่อผลักชิ้นส่วนดังกล่าวออกไปได้ ไทยจะต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้นจากชิ้นส่วนประเทศคู่แข่งอย่างแน่นอน ส่งผลทำให้การส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ของไทยโดยรวมมีแนวโน้มที่จะปรับลดลง ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าในปี 2564 นั้น คาดว่าการส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ไทยทั้งหมด (รวมที่โดนตัดสิทธิ์ GSP) ไปสหรัฐฯน่าลดลงมาเหลือ 11,280 ถึง 11,700 ล้านบาท หดตัวลงกว่าร้อยละ 8 ถึง 11 จาก 12,700 ล้านบาทในปี 2563
ทว่า ความท้าทายของไทยในระยะถัดไปไม่หยุดเพียงเท่านี้ เมื่อประธานาธิบดีคนใหม่นายโจ ไบเดน มีแนวนโยบายที่จะสนับสนุนการผลิตและสร้างตลาดรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า โดยเฉพาะ BEV ขึ้นในประเทศ พร้อมทั้งมีแนวโน้มจะกลับเข้าร่วมกลุ่มความตกลงทางเศรษฐกิจ CPTPP อีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะมีผลกระทบต่อไทยในหลายด้าน ทั้งการส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ไทยไปตลาดสหรัฐฯซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นชิ้นส่วน REM สำหรับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในที่อาจจะได้รับผลกระทบโดยตรงหากไม่มีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ดังกล่าว อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงอีกทางแก่ไทยกับสถานะในห่วงโซ่อุปทานการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าโลกด้วย ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ไทยควรใช้ห้วงเวลานี้เร่งเตรียมความพร้อมเพื่อดึงดูดการลงทุนสำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าทั้งค่ายรถและผู้ผลิตชิ้นส่วนให้ได้ก่อนคู่แข่ง เพื่อให้ไทยได้เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานรถยนต์ดังกล่าวซึ่งจะเป็นเทรนด์ในอนาคตของโลก โดยมีสหรัฐฯเป็นอีกตลาดหลักหนึ่งที่สำคัญของไทยทั้งตลาด OEM และ REM
ขอบคุณภาพจาก Shutterstock.com
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น