กนง. มีแนวโน้มที่จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.25% ในการประชุมกนง. วันที่ 27 ก.ย. ที่จะถึงนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีโมเมนตัมชะลอลงสะท้อนผ่านตัวเลข GDP ในไตรมาส 2/2566 ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ขณะที่เงินเฟ้อทั้งเงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐานก็อยู่ระดับต่ำกว่าเป้าหมายของกนง. ที่ 1-3% อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ ทิศทางเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ายังคงเผชิญความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่จะกดดันการส่งออกและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวของไทย ดังนั้น คาดว่ากนง. จะมีมติคงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมกนง. ที่จะถึงนี้
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า กนง. อาจยังคงส่งสัญญาณเปิดโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ จากการส่งสัญญาณของกนง. ในการประชุมครั้งก่อน ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับการกลับมาเร่งขึ้นของเงินเฟ้อจากราคาอาหารปรับสูงขึ้น อีกทั้งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงมีความเสี่ยงที่จะทรงตัวในระดับสูง โดยกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC+) มีแนวโน้มที่จะยังคงจำกัดปริมาณการผลิตน้ำมันท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ กนง. ยังเผชิญแรงกดดันจากการอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญของค่าเงินบาท ทำให้คาดว่าในการประชุมครั้งนี้ กนง. อาจยังคงส่งสัญญาณเปิดโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อในระยะข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปข้างหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงให้น้ำหนักต่อกรณีกนง. สิ้นสุดวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นและคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.25% ไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นปี 2566 แม้ว่าเงินเฟ้อจะยังมีความเสี่ยงที่จะปรับสูงขึ้นตามราคาอาหารและราคาพลังงานในตลาดโลก แต่คาดว่ามาตรการลดค่าครองชีพจากทางภาครัฐคงจะช่วยลดแรงกดดดันด้านเงินเฟ้อได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะยังทรงตัวอยู่ในกรอบเป้าหมายของกนง. ที่ 1-3% ต่อไปในระยะข้างหน้า ขณะที่ท่ามกลางโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชะลอลง กนง. คงเผชิญข้อจำกัดในการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อ ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงมองความเป็นไปได้ว่า กนง. อาจคงดอกเบี้ยที่ระดับ 2.25% ตลอดจนถึงสิ้นปีนี้
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น