สถานการณ์สินเชื่อในเดือน มี.ค. 2561 ขยายตัวแผ่วลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.9 หมื่นล้านบาท เป็น 11.07 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 0.17% MoM อย่างไรก็ตาม ภาพรวมสินเชื่อทั้งไตรมาสแรกยังโตได้ดีเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน แม้ว่าในช่วงต้นไตรมาสจะมีผลกระทบของการชำระคืนสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีการใช้จ่ายสูงในช่วงท้ายปีก็ตาม ทั้งนี้ สินเชื่อหลักที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ ส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อภาคธุรกิจ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อเพื่อเช่าซื้อรถยนต์ ขณะที่สินเชื่อเอสเอ็มอีปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ด้านภาพรวมเงินฝากเดือน มี.ค. 2561 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 5.8 หมื่นล้านบาท หรือ 0.47% MoM เป็น 12.24 ล้านล้านบาท และเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนและสิ้นปีก่อน 6.42% และ 1.17% ตามลำดับ โดยโตสูงกว่าเงินให้สินเชื่อ ซึ่งสะท้อนภาพการจัดการสภาพคล่องในช่วงที่ต้นทุนเงินฝากยังไม่ขยับขึ้น เพื่อรองรับการปล่อยสินเชื่อและดำเนินธุรกิจในระยะต่อไป ขณะที่มีการทยอยลดสัดส่วนเงินกู้ยืม (Borrowing) ที่มีต้นทุนสูงลงเป็นลำดับ เพื่อบริหารจัดการต้นทุนการเงินรวม ทั้งนี้ ภาพรวมสภาพคล่องของธนาคารผ่อนคลายลงเล็กน้อยในไตรมาสแรก โดยสัดส่วนเงินให้สินเชื่อรวมต่อเงินฝากรวมกับตราสารหนี้ที่ออกและเงินกู้ยืม (LTD+Borrowing Ratio) อยู่ที่ 85.77% และอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องต่อสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นเป็น 22.25%
สินเชื่อในไตรมาสแรกปีนี้ที่ยังขยายตัวดีเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน (+4.59% YoY) เป็นฐานสำหรับต่อยอดการขยายตัวของสินเชื่อในไตรมาสที่ 2 ให้เข้าสู่ระดับเป้าหมายที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดไว้ที่ 4.6% ได้ไม่ยาก ท่ามกลางการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวมของไทย และเศรษฐกิจโลกที่หนุนให้มีเม็ดเงินรายได้เพิ่มขึ้นจากการส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งคงทยอยส่งผลบวกให้ภาคธุรกิจยังมีความต้องการเงินทุนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาพรวมเงินรับฝากในไตรมาสแรกปีนี้ ที่ปรับตัวดีขึ้นเหนือกว่าการให้สินเชื่อของธนาคารนั้น ส่วนหนึ่งน่าจะสะท้อนภาพการจัดการสภาพคล่อง (ในช่วงที่ต้นทุนเงินฝากยังไม่ขยับขึ้น) ขณะที่ปัจจัยท้าทายในไตรมาสที่ 2/2561 ยังต้องติดตามสัญญาณที่สะท้อนแรงกดดันเพิ่มขึ้นจากการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของไทย (สอดคล้องกับการขยับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศ) อันอาจมีผลต่อผลิตภัณฑ์เงินฝากที่จะออกใหม่ให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ ยังมีประเด็นในเรื่องการปรับลดอัตราค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ในไตรมาสที่ 2 นี้ อันอาจส่งผลต่อรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยของธนาคารในระยะต่อไป
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น