Display mode (Doesn't show in master page preview)

22 มิถุนายน 2563

สถาบันการเงิน

แนวทางช่วยลูกค้ารายย่อยเฟส 2 เน้นลดดอกเบี้ยและปรับโครงสร้างหนี้ เพิ่มแรงกดดันต่อผลประกอบการ (มองเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3872)

คะแนนเฉลี่ย

​         ​ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เดินหน้าแพ็กเกจมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 2 ซึ่งจะเน้นการลดภาระทางการเงินสำหรับลูกหนี้รายย่อย (ลดเพดานดอกเบี้ยสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล และปรับลดดอกเบี้ยในกรณีแปลงหนี้เป็นสินเชื่อระยะยาว)  รวมไปถึงกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้ลูกหนี้แต่ละรายมีภาระผ่อนต่อเดือนน้อยลง ระยะเวลาผ่อนนานขึ้น และมีความสามารถในการชำระหนี้ที่สอดคล้องกับกระแสรายได้ของตนเองมากขึ้น

            สำหรับผลต่อธนาคารพาณิชย์นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยในส่วนของสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลตามแนวทางดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะเกิดขึ้นตั้งแต่ในช่วงไตรมาสที่ 3/2563 โดยในเบื้องต้น คาดว่า ผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ลูกค้ารายย่อยในช่วงไตรมาสที่ 3/2563 จะอยู่ที่ประมาณ 1,000-2,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 0.8-1.5% ของรายได้ดอกเบี้ยของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในไตรมาส 3/2563

            นอกจากนี้ประเด็นที่ต้องติดตามในไตรมาส 3/2563 จะเป็นสถานการณ์ของลูกหนี้ที่เข้ารับความช่วยเหลือตามมาตรการเฟสแรกว่า จะสามารถกลับมาผ่อนชำระหนี้คืนได้มาก-น้อยเพียงใด ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ได้ฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ อาจทำให้ลูกหนี้ส่วนใหญ่เลือกที่จะขอขยายเวลาการชำระหนี้ หรือพักชำระหนี้ต่อ ซึ่งตัวแปรดังกล่าวจะทำให้ธนาคารพาณิชย์ ตลอดจนสถาบันการเงินอื่นๆ ทั้งสถาบันการเงินเฉพาะกิจและนอนแบงก์ ต้องวางแผนเพื่อช่วยเหลือลูกค้า ควบคู่ไปกับการปรับกลยุทธ์เพื่อบรรเทาแรงกดดันต่อผลประกอบการไปในเวลาเดียวกัน

            ทั้งนี้ แม้ระบบธนาคารพาณิชย์จะเผชิญโจทย์ท้าทายต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ทั้งจากปัญหาเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อสถานะของลูกค้า รวมถึงผลจากเดินหน้ามาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือลูกค้าตามแนวทางของทางการ อย่างไรก็ดี ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งมีการวางกลยุทธ์/ปรับแผนการทำธุรกิจอย่างรอบคอบ มีการบริหารความเสี่ยงที่ดี ประกอบกับมีฐานเงินกองทุนและเงินสำรองในระดับสูง โดย ณ สิ้นเดือนเม.ย. 2563 ธ.พ. ไทยมีเงินกองทุนทั้งสิ้น 2,616,162 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ 18.9% ซึ่งนับว่ามีความเข้มแข็งกว่าเกณฑ์เงินกองทุนที่ต้องดำรงขั้นต่ำของธปท.ที่ 11.0% ขณะที่สัดส่วนสำรองที่มีอยู่ต่อ NPLs อยู่ที่ 140% ซึ่งเพียงที่จะรองรับความเสี่ยงต่างๆ ในระยะที่เหลือของปีได้


ดูรายละเอียดฉบับเต็ม


สถาบันการเงิน