ในปี 2550 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเผชิญกับภาวะการชะลอตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ โดยเฉพาะการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งมีอัตราการเติบโตต่ำที่สุดนับตั้งแต่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นหลังวิกฤตการณ์เศรษฐกิจปี 2540 แต่ถึงกระนั้น ภาคอุตสาหกรรมของไทยยังมีการเติบโตในระดับสูง โดยเป็นผลมาจากการส่งออกซึ่งขยายตัวสูงตามการเติบโตของเศรษฐกิจโลก แต่ในปี 2551 มีแนวโน้มที่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกจะเผชิญปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน โดยเฉพาะปัญหาทางเศรษฐกิจของสหรัฐที่ก่อตัวขึ้นจากวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ และปัญหาราคาน้ำมันที่ยังมีโอกาสปรับตัวสูงไปอีก ภาคอุตสาหกรรมไทยมีโอกาสได้รับผลกระทบสูง เนื่องจากอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของไทยเป็นธุรกิจที่พึ่งพาการส่งออก และยังคงมีการพึ่งพาตลาดส่งออกขั้นสุดท้ายไปยังสหรัฐสูง ขณะเดียวกันไทยก็มีอัตราการพึ่งพาการใช้น้ำมันสูงเป็นอันดับต้นๆในภูมิภาค
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์แนวโน้มการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม ในปี 2551 โดยประเมินผลกระทบราคาน้ำมันแบ่งเป็น 3 กรณี คือ
ในกรณีพื้นฐาน (Base Case) ถ้าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังยืนตัวในระดับสูง ทำให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 92 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เทียบกับระดับเฉลี่ย 72.5 ดอลลาร์ฯในปี 2550 คาดว่าจีดีพีของภาคอุตสาหกรรมจะมีอัตราการเติบโตร้อยละ 4.1-5.7 ชะลอตัวลงกว่าในปี 2550 ที่คาดว่ามีอัตราการขยายตัวร้อยละ 5.6
ในกรณีมุมมองเชิงบวก (Optimistic Case) ถ้าราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้นในอัตราที่ไม่รุนแรงนัก โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์มีค่าเฉลี่ยประมาณ 85 ดอลลาร์ฯต่อบาร์เรล ในกรณีนี้ อัตราเงินเฟ้อน่าจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3.0 ซึ่งยังเป็นระดับที่เอื้ออำนวยต่อการขยายตัวของการบริโภคและการลงทุน ตลอดจนการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ซึ่งจะสนับสนุนให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีทิศทางฟื้นตัวดีขึ้น คาดว่าจีดีพีของภาคอุตสาหกรรมไทยจะขยายตัวค่อนข้างดี คือประมาณร้อยละ 5.0-6.5
ในกรณีเลวร้าย (Worse Case) ที่ราคาน้ำมันมีค่าเฉลี่ยที่ประมาณ 100 ดอลลาร์ฯต่อบาร์เรล การเติบโตของจีดีพีภาคอุตสาหกรรมอาจจะต่ำลงมาอยู่ในช่วงร้อยละ 3.2-4.9
ทั้งนี้ ในปี 2551 ภาคอุตสาหกรรมไทยเผชิญปัญหาเฉพาะหน้าที่สำคัญคือปัจจัยต้นทุนด้านพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น ปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาท อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางวิกฤติที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะปัญหาด้านพลังงานและปัญหาโลกร้อน อาจสร้างโอกาสให้แก่หลายธุรกิจในการพัฒนาเทคโนโลยีและรูปแบบสินค้าที่ตอบรับกระแสประหยัดพลังงานและรักษาสภาพแวดล้อม สำหรับปัญหาในระยะปานกลางถึงระยะยาวสำหรับภาคอุตสาหกรรมของไทย ที่สำคัญที่สุดคือ ปัญหาความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้น เพื่อรับมือกับปัจจัยเสี่ยงและปัญหาด้านการแข่งขันที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ผู้ประกอบการไทยควรเร่งปรับตัว โดยหาแนวทางลดต้นทุนเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ปรับปรุงประสิทธิภาพในการแข่งขัน ซึ่งอาจต้องมีลงทุนนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทดแทนแรงงาน รวมทั้งการปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ และมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีเป้าหมายเป็นตลาดที่สร้างมูลค่าสูง หรือตลาด Niche มากขึ้นเพื่อลดการแข่งขันในด้านราคา นอกจากนี้ ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัฒน์และการค้าเสรี ที่การแข่งขันขยายไปอย่างไร้พรมแดน ธุรกิจไทยอาจจำเป็นต้องหันมาพิจารณาโอกาสในการออกไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น เพื่อประโยชน์ในการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดที่มีศักยภาพสูง
นอกจากนี้ ภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญปัญหาการปรับตัวสู่โครงสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของประเทศจะต้องมุ่งไปที่อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและสร้างมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งรัฐบาลควรจะต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์เป้าหมายของอุตสาหกรรมไทยและยุทธศาสตร์รายสาขา ขณะที่ภาคเอกชนต้องมีการปรับกระบวนทัศน์และกลยุทธในการแข่งขันเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ขณะเดียวกัน ภาครัฐก็ต้องมีมาตรการในการรองรับและช่วยเหลือผู้ประกอบการและแรงงานในโครงสร้างอุตสาหกรรมเดิมให้สามารถปรับตัวไปสู่โครงสร้างอุตสาหกรรมใหม่ได้
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น