ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องในปี 2551-2552 ทำให้ดุลการค้าของไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงกับภาวะขาดดุลการค้า เนื่องจากไทยนำเข้าน้ำมันดิบคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 17 ของการนำเข้าทั้งหมดของไทย ซึ่งยอดขาดดุลการค้าที่พุ่งขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยด้วย การเร่งขยายการส่งออกจึงเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยบรรเทายอดขาดดุลการค้าของไทย และช่วยลดแรงกดดันต่อดุลบัญชีเดินสะพัดที่อาจส่งผลกระทบซ้ำเติมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในภาวะที่ไทยต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน รวมถึงเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น อันส่งผลต่อความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนและทำให้ต้นทุนของภาคธุรกิจสูงขึ้น การเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรี (FTA) ของไทยที่มีความคืบหน้าทั้งในระดับภูมิภาคและทวิภาคีที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2551-2552 ได้แก่ FTA อาเซียน-เกาหลีใต้ FTA อาเซียน-ญี่ปุ่น และ FTA ไทย-เปรู น่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การส่งออกของไทยขยายตัวได้ดีขึ้นในระยะต่อไป และช่วยฐานะดุลการค้าของไทยให้ดีขึ้นไม่มากก็น้อย จากปัจจุบันในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ที่ไทยขาดดุลการค้า 2.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากช่วงเดียวกันปี 2550 ที่เกินดุลการค้า 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
พิธีสารการลดภาษีศุลกากรระหว่างไทยกับเปรูในสินค้ากลุ่มเริ่มแรก (Early Harvest : EH) ภายใต้ความตกลง FTA ไทย-เปรู ที่คาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในช่วงต้นปี 2552 จะกระตุ้นให้การส่งออกของไทยไปเปรูขยายตัวได้ดีขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมูลค่าส่งออกของไทยไปเปรูค่อนข้างน้อย จึงมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก ประกอบกับการบริโภคภายในประเทศเปรูที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โอกาสของสินค้าอุตสาหกรรมส่งออกของไทยจะเข้าสู่ตลาดเปรูได้มากขึ้น โดยสินค้าส่งออกของไทยที่จะได้ประโยชน์ทันทีจากการลดภาษีของเปรูเหลือร้อยละ 0 (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 80 ของสินค้าที่ไทยส่งออกไปเปรู) เช่น รถปิกอัพ หลอดไฟฟ้า พลาสติกและผลิตภัณฑ์ เลนส์แว่นตา ยางและผลิตภัณฑ์ โทรศัพท์ เครื่องขยายเสียง คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ
ขณะเดียวกันไทยจะต้องลดภาษีนำเข้าสินแร่สังกะสี สินแร่ดีบุก รัตนชาติ ด้ายและผ้าทอขนสัตว์ให้เปรูเหลือในอัตราร้อยละ 0 ทันทีที่พิธีสารฯ มีผลบังคับใช้ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนนำเข้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปจากเปรูให้ถูกลง คาดว่าจะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจไทยที่กำลังประสบกับภาวะที่ต้นทุนด้านอุปทานพุ่งขึ้นในปัจจุบันและมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงในปี 2552 และยังช่วยให้การผลิตสินค้าแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าส่งออกของไทยสูงขึ้นด้วย ซึ่งปัจจุบันสินค้าที่ไทยนำเข้าจากเปรูเกือบทั้งหมดเป็นสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 96 ของการนำเข้าทั้งหมดของไทยจากเปรู
การเปิดเสรีสินค้าภายใต้พิธีสารฉบับนี้ยังไม่รวมสินค้าปลาป่นซึ่งเป็นสินค้าอ่อนไหวของไทย อย่างไรก็ตาม สำหรับระยะต่อไปของการเจรจาเปิดตลาดสินค้า FTA ไทย-เปรู ไทยอาจต้องเปิดให้สินค้าปลาป่นของเปรูเข้ามาไทยได้มากขึ้น ซึ่งเปรูเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตปลาป่นซึ่งมีคุณภาพและส่งออกเป็นอันดับ 1 ของโลก แม้ว่าด้านหนึ่งน่าจะส่งผลดีต่อผู้ผลิตอาหารสัตว์ของไทย เนื่องจากการมีแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพดีและราคาถูกลง รวมทั้งลดปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบสินค้าประมงที่ไทยกำลังประสบอยู่ขณะนี้ด้วย แต่ชาวประมงและธุรกิจปลาป่นไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันมากขึ้น ผู้ประกอบการปลาป่นจึงควรใช้ระยะเวลาที่เหลืออยู่ปรับตัวเตรียมพร้อมต่อการแข่งขันจากการเปิดเสรีในอนาคต ขณะที่ภาครัฐควรดำเนินการใช้เงินกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรี (กองทุน FTA) อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นประโยชน์และเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ในอันที่จะช่วยสร้างสมรรถนะทางการแข่งขันให้กับธุรกิจปลาป่นไทย รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนา/ฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน เพื่อรักษาแหล่งทรัพยากรประมงในประเทศ
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น