Display mode (Doesn't show in master page preview)

23 กันยายน 2551

อุตสาหกรรม

ราคาเหล็กในตลาดโลก : ชะลอตัวแต่อาจผันผวน (มองเศรษฐกิจฉบับที่ 2296)

คะแนนเฉลี่ย

ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ราคาเหล็กในตลาดโลกเริ่มมีทิศทางการชะลอตัวลงจากราคาเฉลี่ยของเดือนกรกฏาคมที่ได้พุ่งขึ้นไปสูงถึง 1,160 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน โดยราคาเฉลี่ยในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 1,154 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ลดลงร้อยละ 0.5 จากเดือนก่อนหน้า และเป็นการลดลงครั้งแรกหลังจากราคาเหล็กได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกันตลอดระยะเวลา 10 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว แต่ยังคงเป็นระดับที่สูงกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อนอยู่ถึงร้อยละ 68.5 ทำให้ประเด็นราคาดังกล่าวจะยังคงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องต่อไป ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมก่อสร้าง หรืออุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยยังจำเป็นต้องนำเข้าเหล็กกึ่งวัตถุดิบจากต่างประเทศ เพื่อนำมาผลิตต่อในขั้นกลางและขั้นปลาย ซึ่งจะทำให้ได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่นๆตามมาด้วย ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้วิเคราะห์ถึงทิศทางของราคาเหล็กในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปี 2551 โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้

การที่ราคาเฉลี่ยเหล็กในตลาดโลกมีการปรับตัวลดลงมาในช่วงเดือนสิงหาคม แต่เป็นเพียงการชะลอตัวลงเล็กน้อย และยังคงรักษาระดับราคาที่สูงอยู่นั้นเป็นผลมาจาก อุปสงค์เหล็กที่ชะลอตัวลงจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในหลายภูมิภาคของโลกในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างและอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีการใช้เหล็กเป็นจำนวนมาก ได้ส่งสัญญาณชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้อุปทานเหล็กในตลาดโลกที่มีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นจากที่ราคาเหล็กมีการเร่งตัวขึ้นไปสูงมากในช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้มีการเพิ่มกำลังการผลิตเหล็กขึ้นมากในขณะที่อุปสงค์เริ่มชะลอตัวลง ส่งผลให้ปริมาณเหล็กที่มีอยู่ในท้องตลาดในระยะนี้มีจำนวนมากเกินกว่าความต้องการ ในส่วนของต้นทุนวัตถุดิบเองก็มีการปรับลดราคาลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นราคาถ่านหิน ราคาสินแร่เหล็ก และราคาน้ำมัน

อย่างไรก็ตามราคาเหล็กอาจกลับมาสูงขึ้นได้อีกช่วงไตรมาสที่ 4 โดยมีอุปสงค์เหล็กและต้นทุนเป็นตัวกระตุ้น เนื่องจากอุปสงค์เหล็กในประเทศจีน อินเดียและภูมิภาคตะวันออกกลางที่ยังคงมีอยู่มาก เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีขนาดใหญ่ และได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกซึ่งเป็นผลมาจากขนาดของตลาดที่ใหญ่ ทำให้มีการเข้าไปลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะอุตสาหกรรมก่อสร้าง และยานยนต์ นอกจากนี้ต้นทุนการผลิตบางตัวยังมีแนวโน้มที่อาจจะสูงขึ้น เช่นราคาสินแร่เหล็กและถ่านหินหลังจากที่ราคาได้ปรับลดลงไปในช่วงก่อนหน้า จากแนวโน้มการขึ้นราคาในสัญญาซื้อขายสินแร่เหล็กและภาษีที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการลดกำลังการทยอยลดกำลังการผลิตถ่านหินลงเพื่อพยุงราคาให้สูงขึ้น

จากปัจจัยข้างต้นทำให้แนวโน้มราคาเหล็กในตลาดโลกช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 อาจมีโอกาสกลับมาปรับสูงขึ้นได้อีก แต่คาดว่าราคาที่ปรับขึ้นนี้จะไม่ขึ้นไปสูงเท่ากับระดับสูงสุดในเดือนกรกฎาคม จากที่มีการคาดการณ์กันว่าราคาเหล็กได้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้ว และอุปสงค์ของตลาดหลายแห่งก็ยังไม่สื่อให้เห็นถึงทิศทางที่จะฟื้นตัวขึ้นในปีนี้จากปัญหาเรื่องสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถปรับเพิ่มราคาเหล็กขึ้นได้มากดังเช่นช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ตามโอกาสที่ราคาเหล็กจะดีดตัวขึ้นในไตรมาสที่ 4 ดังกล่าว ยังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะปัญหาสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำในหลายๆภูมิภาคทั่วโลก รวมไปถึงสัญญาณของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีนที่ทรุดลง ซึ่งคาดว่าจะมีผลต่อปริมาณอุปสงค์เหล็กในตลาดโลกที่อาจจะชะลอลง และส่งผลต่อระดับราคาที่ตกต่ำลงได้ ซึ่งประเด็นต่างๆเหล่านี้ยังคงเปนประเด็นสำคัญที่ต้องให้ความสนใจติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไปหากสถานการณ์ดังกล่าวยังไม่ได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น

ดูรายละเอียดฉบับเต็ม


อุตสาหกรรม