ภาคส่งออกของจีนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและส่งผลต่อไปถึงความต้องการนำเข้าสินค้าและการผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนให้ชะลอลงด้วย โดยเริ่มส่งสัญญาณตั้งแต่ในเดือนสิงหาคม 2551 ซึ่งเป็นปัจจัยลบที่ส่งผลต่อภาคส่งออกของไทยไปจีนในสิงหาคม 2551 ให้อ่อนแรงลงด้วย โดยการส่งออกของไทยไปจีนในเดือนสิงหาคมปี 2551 เติบโตชะลอลงเหลือร้อยละ 1.4 จากช่วงเดียวกันของปี 2550 (yoy) นับว่าเป็นเดือนที่อัตราเติบโตของการส่งออกไปจีนอยู่ในระดับต่ำที่สุดตั้งแต่ต้นปี 2551 สินค้าสำคัญหลายรายการที่จีนใช้สำหรับการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่นำเข้าจากไทยมีมูลค่าลดลง ได้แก่ เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า และน้ำมันสำเร็จรูป ส่วนสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปจีนที่ขยายตัวชะลอลงในเดือนสิงหาคม 2551 ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก และไม้/ผลิตภัณฑ์ไม้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจากวิกฤตภาคการเงินของสหรัฐฯ ที่ส่งผลให้ภาคส่งออกจีนอ่อนแรงลง เป็นปัจจัยท้าทายที่จะส่งผลให้การส่งออกของไทยไปจีนในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงจากปี 2550 โดยประเมินว่าการส่งออกของไทยไปจีนในปีนี้อาจขยายตัวได้ราวร้อยละ 18-22 ชะลอลงจากที่เติบโตร้อยละ 26.3 ในปี 2550
หากทางการสหรัฐฯ สามารถหยุดยั้งปัญหาในภาคการเงินของสหรัฐฯ ขณะนี้ ไม่ให้ส่งผลลุกลามไปสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real Sector) คาดว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศต่างๆ รวมทั้งจีนจากภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่รุนแรงจะอยู่ในวงจำกัดและไม่ลุกลามไปในวงกว้างมากนัก ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อภาคส่งออกของจีน และบรรเทาผลกระทบจากการชะลอตัวของการส่งออกของไทยไปจีนด้วย โดยจีนถือเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชีย จากความต้องการบริโภคของจีนที่ขยายตัวต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจจีนเติบโตด้วยตัวเลข 2 หลักติดต่อกันมาโดยตลอด และเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นการส่งออกและการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศต่างๆ ในเอเชียและประเทศไทยด้วย สำหรับไทย จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 3 ของไทย ที่มีสัดส่วนส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ 4.4 ในปี 2544 เป็นร้อยละ 9.5 ในปัจจุบัน
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น