ส่งออกไทยไปจีน : ชะลอตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 (มองเศรษฐกิจฉบับที่ 2360)

เศรษฐกิจจีนที่ต้องเผชิญกับภาวะชะลอตัวในปี 2551 นี้และมีแนวโน้มจะชะลอตัวต่อเนื่องในปี 2552 เนื่องจากผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวรุนแรงจนทำให้ภาคส่งออกของจีนอ่อนแรงลงต่อเนื่อง และส่งผลต่อไปยังภาคเศรษฐกิจภายในจีนด้วย ทำให้ความต้องการสินค้านำเข้าของจีนชะลอตัวตามการผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนที่เติบโตชะลอลงต่ำสุดในรอบ 7 ปี ในเดือนตุลาคม 2551 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นปัจจัยท้าทายต่อภาคส่งออกของไทยไปจีนที่ต้องเผชิญกับภาวะชะลอตัวติดต่อกันมาเป็นเดือนที่ 3 ตั้งแต่เดือนสิงหาคม-ตุลาคม 2551 โดยสินค้าส่งออกสำคัญของไทยที่มีมูลค่าส่งออกไปจีนหดตัวลงในช่วง 3 เดือนมานี้ ได้แก่ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ และแผงวงจรไฟฟ้า ขณะที่สินค้าส่งออกของไทยไปจีนที่ยังคงเติบโตต่อเนื่องแต่อัตราการขยายตัวชะลอลง ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยางพารา และผลิตภัณฑ์ยาง ส่งผลให้การเติบโตของการส่งออกของไทยไปจีนในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ชะลอลงเหลือร้อยละ 20.2 จากช่วงเดียวกันปี 2550 ที่ขยายตัวร้อยละ 27.3 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการส่งออกของไทยไปจีนในปีนี้อาจชะลอลงเหลือประมาณร้อยละ 18 ซึ่งถือเป็นอัตราเติบโตต่ำสุดในรอบ 6 ปี ขณะที่การส่งออกของไทยไปจีนในปี 2552 มีแนวโน้มอ่อนแรงลงต่อเนื่อง โดยคาดว่าอาจเติบโตระหว่างร้อยละ 1.0-6.0 เทียบกับการส่งออกโดยรวมของไทยในปี 2552 ที่คาดว่าจะเติบโตร้อยละ -2.0 ถึง +3.0 ขณะที่การส่งออกของไทยในปี 2551 มีแนวโน้มเติบโตร้อยละ 19 เป้าหมายการส่งออกของไทยในปี 2552 อาจต้องเผชิญกับข้อจำกัดของอุปสงค์ในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดส่งออกหลักๆ รวมถึงตลาดจีนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้อย่างยากจะหลีกเลี่ยง การประคับประคองภาคส่งออกของไทยให้เติบโตต่อไปโดย จึงควรเน้นกระจายการส่งออกไปยังตลาดที่ไทยยังมีมูลค่าการส่งออกไม่มากจึงน่าจะมีโอกาสขยายตัวได้อีก เช่น ตะวันออกกลาง รัสเซีย อินเดีย และแอฟริกาใต้ การรักษาคุณภาพสินค้าโดยเฉพาะสินค้าอาหารให้ได้มาตรฐานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสินค้าไทย และสร้างตราสินค้าไทยเพื่อจับตลาดผู้บริโภคระดับบนแทนการแข่งขันด้านราคา รวมถึงการใช้ประโยชน์จากช่องทางการเปิดเสรีทางการค้าที่ไทยมีความตกลง FTA กับประเทศต่างๆ ในปัจจุบัน ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น จีน และอินเดีย